กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--ทริปเปิล เอท ไอเดียส์
ในปีพ.ศ.2555 มีที่อยู่อาศัยมากกว่า 2,600 ยูนิตที่สร้างเสร็จ และเปิดขายใหม่ ส่งผลให้จำนวนรวมของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในพื้นที่นี้มีมากกว่า 17,900 ยูนิต ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชะอำ หัวหิน และปราณบุรี เริ่มการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วงปีพ.ศ.2546 มีที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีประมาณ 1,300 ยูนิต และผู้ซื้อชาวไทยคือกลุ่มผู้ซื้อหลัก เนื่องจากระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ชะอำ หัวหิน และปราณบุรี ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมในการที่คนไทยเลือกซื้อบ้านพักเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง โดยเฉพาะคนไทยที่ทำงานในกรุงเทพมหานคร และรวมถึงคนไทยที่มาทำงานในพื้นที่นี้
สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในปีพ.ศ.2555 นายสัญชัย คูเอกชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย สาขาหัวหิน กล่าวว่า “จำนวนคอนโดมิเนียมทั้งหมดในชะอำ หัวหิน และปราณบุรี ณ สิ้นปีพ.ศ.2555 มีประมาณ 8,820 ยูนิต โดยในปีพ.ศ.2555 มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จ และจดทะเบียนที่กรมที่ดินประมาณ 770 ยูนิต นอกจากนี้ ยังมีคอนโดมิเนียมมากกว่า 6,100 ยูนิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีกำหนดแล้วเสร็จในปีพ.ศ.2556 โดยที่ประมาณ 47% อยู่ในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเล แต่ในช่วงระหว่างปีพ.ศ.2554 และ 2555 มีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่เปิดขายในชะอำมากขึ้น ดังนั้นในอีก 2 — 3 ปีข้างหน้าพื้นที่ชะอำจะกลายเป็นพื้นที่ที่มีคอนโดมิเนียมมากกว่าหัวหิน นอกจากนี้ เนื่องจากที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหินมีจำกัด ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม”
สำหรับยอดขายนั้น นายสัญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “อัตราการขายได้เฉลี่ย ณ สิ้นปีพ.ศ.2555 อยู่ที่ประมาณ 55% โดยที่ในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลสูงที่สุดที่ประมาณ 73% ซึ่งใกล้เคียงกับพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขา เปรียบเทียบกับ 47% และ63% ในพื้นที่ชะอำ และปราณบุรี ตามลำดับ เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการที่เปิดขายในชะอำ ระหว่างปีพ.ศ.2555 — 2556 มีจำนวนยูนิตมากกว่า 1,000 ยูนิต ดังนั้นอัตราการขายได้ในพื้นที่นี้จึงต่ำที่สุด โดยราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งหลังปีพ.ศ.2555 อยู่ที่ประมาณ 61,000 บาทต่อตารางเมตร ใกล้เคียงกับราคาในช่วง 6 เดือนแรก”
ในส่วนของตลาดบ้านจัสสร และโครงการแนวราบนั้น นายสุรเชษฐ กองชีพ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า “มีบ้านจัดสรร และวิลล่า ประมาณ 1,850 ยูนิตที่เปิดขายในปีพ.ศ.2555 มากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยที่โครงการเกือบทั้งหมดมุ่งเน้นในการขายให้กับผู้ซื้อชาวไทย และคนที่มาทำงานในพื้นที่นี้ หรืออำเภอใกล้เคียง หรือคนจากกรุงเทพมหานครที่มองหาบ้านหลังที่สองของครอบครัว เนื่องจากราคาขายยังไม่แพงมาก หรือใกล้เคียงกับราคาคอนโดมิเนียม ดังนั้นคนไทยบางส่วนจึงเลือกที่จะซื้อบ้านในโครงการจัดสรรแทนคอนโดมิเนียม จำนวนของยูนิตที่เปิดขายใหม่ในปีพ.ศ.2555 เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากหลายปีก่อนหน้านี้ และยูนิตส่วนใหญ่จะเปิดขายในช่วงครึ่งหลังปีพ.ศ.2555 เนื่องจากความเชื่อมั่นของทั้งผู้ประกอบการ และผู้ซื้อที่มีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในชะอำ หัวหิน และปราณบุรี นอกจากนี้เหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย ในบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่โดยรอบ ในช่วงสิ้นปีพ.ศ.2554 ได้กลายเป็นปัจจัยบวก เนื่องจากมีคนอพยพชั่วคราวออกจากพื้นที่น้ำท่วม และบางส่วนมีเริ่มมองหารบ้านหลังที่สองนอกกรุงเทพมหานคร”
สำหรับยอดขายของโครงการแนวราบในพื้นที่ชะอำ หัวหิน และปราณบุรีนั้น นายสุรเชษฐ กล่าวเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า “อัตราการขายเฉลี่ยของทุกพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 58% จากจำนวนทั้งหมด 5,600 ยูนิต ในตลาด อัตราการขายเฉลี่ยในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลสูงที่สุดโดยอยู่ที่ประมาณ 68% ตามมาด้วยปราณบุรี ที่ประมาณ 61% และชะอำ กับหัวหินฝั่งภูเขา ที่ประมาณ 56% อุปทานมากกว่า 70% ของบ้านจัดสรร และวิลล่า หรือประมาณ 3,900 ยูนิต อยู่ในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขา ดังนั้นอัตราการขายในพื้นที่นี้จึงต่ำที่สุด โดยส่วนใหญ่ของโครงบ้านจัดสรร และวิลล่าขนาดใหญ่จะอยู่ในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขา แต่หลายโครงการก็ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อ เนื่องจากราคาไม่แพง และสามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากในโครงการ นอกจากนี้ โครงการระดับกลาง และระดับล่างหลายโครงการอยู่ในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขา และผู้ซื้อชาวไทยเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก สำหรับราคาขายเฉลี่ยในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเล และชะอำ เนื่องด้วยโครงการบ้านจัดสรรหลายโครงการตั้งอยู่ไกลจากชายหาด และเป็นบ้านชั้นเดียวบนที่ดินขนาดเล็ก ซึ่งเหมาะกับการอยู่อาศัยเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีโครงการระดับกลาง และล่างหลายโครงการที่เปิดขายในพื้นที่นี้”
“ในปีพ.ศ.2555 ที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นพื้นที่ชะอำ หัวหิน และปราณบุรี มีการเติบโตมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม คาดการณ์ว่าตลาดคอนโดมิเนียมในปีพ.ศ.2556 ยังคงเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีพ.ศ.2555 เนื่องจากนอกจากนี้ผู้ประกอบในตลาดหลักทรัพย์หลายรายกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้เช่นกัน และตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงยังคงเป็นคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาทครับ” นายสุรเชษฐ กล่าวสรุป