กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--PRdd
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเสนอขายกองทุนใหม่ซึ่งเป็นกองทุนประเภททริกเกอร์ที่ลงทุนในหุ้นจีน คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไชน่า ทริกเกอร์ 5.55% ฟันด์1 (SCB CHINA TRIGGER 5.55% FUND 1 : SCBTCE1) อายุประมาณ 5 เดือน มูลค่า 500 ล้านบาท เสนอขายวันที่ 14 — 20 มีนาคม 2556 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไชน่า ทริกเกอร์ 5.55% ฟันด์1 มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศประเภท Exchange Traded Fund (Equity ETF) ได้แก่ Hang Seng H-Share Index ETF (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนกองทุนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนให้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (H-Share Index) ให้มากที่สุด ซึ่งกองทุนทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกงเมื่อเทียบกับสกุลเงินบาท ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศตลอดเวลา
ทั้งนี้กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไชน่า ทริกเกอร์ 5.55% ฟันด์1 ได้กำหนดเป้าหมายทริกเกอร์ภายใน 5 เดือนแรก คือหากมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.7571 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน บริษัทฯ จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในอัตราไม่ต่ำกว่า 10.6679 บาทต่อหน่วย ภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่ทริกเกอร์ หากกองทุนไม่ทริกเกอร์ในระยะเวลาที่กำหนด กองทุนจะบริหารต่อเป็นกองทุนเปิด โดยผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการที่กำหนด
นางโชติกา กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศจีนมีแนวโน้มค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายรัฐบาลกลับมาให้ความสนใจการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยนโยบายการเงินผ่อนคลาย และการส่งออกฟื้นตัวจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น การปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากนโยบายผ่อนคลายด้านดอกเบี้ยในปี 2012 ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ อีกทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจเน้นกระจายรายได้ และปรับการผลิตให้ทันสมัย หนุนการบริโภคภายในประเทศ จึงเป็นโอกาสเหมาะในการซื้อหรือลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในประเทศจีน โดยอนาคตมองว่าสัญญาณดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจีนแสดงถึงเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุด เงินลงทุนไหลเข้าตลาด North Asia ต่อเนื่อง และตลาดหุ้นจีนยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับอดีต และตลาดหุ้นถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นเอเชียด้วย ในขณะที่การปรับประมาณการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีเสถียรภาพตามภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ เศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยรัฐบาลยังคงจับตามองฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และแนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อาจทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีความระมัดระวังในการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6