กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--ล็อกซเล่ย์
นายธงชัย ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อปี 2555 กลุ่มล็อกซเล่ย์ทำรายได้รวม 14,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 526 ล้านบาท ซึ่งสามารถทำกำไรสุทธิโตขึ้นเกือบ 80% สำหรับปี 2556 กลุ่มบริษัทตั้งเป้ารายได้โตขึ้น 30% วิ่งไปที่ 18,000 ล้านบาท โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นประมาณ 25% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิเมื่อปีที่แล้ว
ปัจจัยหลักในการผลักดันรายได้มาจากกลุ่มสายงานโครงการ ประกอบด้วย กลุ่มไอซีทีและโทรคมนาคม กลุ่มธุรกิจงานโครงการ และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี โดยคาดว่าทั้ง 3 กลุ่มนี้จะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 70% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มธุรกิจการค้าและธุรกิจบริการ ซึ่งจะมีสัดส่วนรายได้รวมกันราว 30% สำหรับกำไรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25% เป็นผลมาจากยอดรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายมีประสิทธิภาพดีขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบและกลุ่มน้ำมันหล่อลื่น โดยในปี 2555 กลุ่มนี้มีรายได้และความสามารถในการทำกำไรที่โตขึ้นอย่างมีสาระสำคัญ ซึ่งจากธุรกิจที่มั่นคงและมีอัตราการเติบโตที่ดีของบริษัทร่วม จะเป็นอีกปปัจจัยที่ผลักดันกำไรสุทธิในปี 2556 ของกลุ่มล็อกซเล่ย์ให้โตขึ้นดังกล่าว
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมทางด้านการเงิน โดยคาดว่าจะเพิ่มทุนในส่วนการขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปประมาณ 165 ล้านหุ้น หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ลดลง ในส่วนเงินเพิ่มทุนนั้นจะนำไปลงทุนในการขยายโครงการใหม่ๆ ของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและบริษัทในเครือรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของบริษัทที่จะเติบโตในอนาคต
ในระยะยาวสายงานโครงการทั้งกลุ่มไอซีทีและโทรคมนาคม กลุ่มธุรกิจงานโครงการ และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี จะยังคงเป็นรายได้หลัก ทั้งจากกลุ่มงาน (High Potential) ประมาณ 28,000 ล้านบาท และแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งจำนวน 2.27 ล้านล้านบาทของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการขนส่งทางราง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง และรถไฟฟ้า ซึ่งเมกะโปรเจคเหล่านี้จะเป็นกลุ่มงานที่ทำให้ล็อกซเล่ย์มีฐาน Backlog จากระดับ 8,000-10,000 ล้านบาทในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีกลุ่มธุรกิจธุรกิจการค้าและธุรกิจบริการ ซึ่งเป็น “Recurring Income” เป็นตัวเพิ่มฐานรายได้ โดยกลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญรองรับ AEC ซึ่งปัจจุบันล็อกซเล่ย์ได้จัดตั้งสำนักงานแล้วที่เวียดนาม ลาว พม่า รวมทั้งกวางเจาในจีน ซึ่งเป็นผลดีต่อล็อกซเล่ย์ในการขยายฐานการตลาดบนผลิตภัณฑ์เดิม รวมทั้งการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่
Backlog ยกมา 8,000 ล้านบาท กับงานโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาและรอผลการประกวดราคา (High Potential) อีก 28,000 ล้านบาท เป็นตัวผลักดันรายได้
กลุ่มล็อกซเล่ย์ตั้งเป้ารายได้รวมจากสายงานโครงการจาก 9,500 ล้านบาทในปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ล้านบาทในปีนี้ งานโครงการในมือ (Backlog) เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันรายได้ในกลุ่มสายงานโครงการให้เพิ่มขึ้น โดยต้นปีมี Backlog ยกมา 8,000 ล้านบาท ซึ่งงานในมือที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น
- กลุ่มไอซีทีและโทรคมนาคม 5,000 ล้านบาท งานที่สำคัญได้แก่เป็นงานติดตั้งโครงข่าย 3G มูลค่า 1,568 ล้านบาท และโครงการขยายโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable Network) มูลค่า 1,001 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็น งานก่อสร้างโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำในอ่าวไทย งานโครงการติดตั้งและบริการดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ ให้กับฐานลูกค้าเดิม และงานโครงการเครื่องรับฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติของธนาคารพาณิชย์ซึ่งเกือบทั้งหมด จะรับรู้เป็นรายได้ของปี 2556
- กลุ่มธุรกิจงานโครงการ 2,200 ล้านบาท งานที่สำคัญได้แก่ งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง มูลค่า 1,226 ล้านบาท โครงการซื้อเครื่องส่งสำรอง มูลค่า 115 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ในระหว่างรอเซ็นสัญญา คือ โครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 230kV ประมาณ 580 ล้านบาท
- กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี 900 ล้านบาท งานที่สำคัญได้แก่ โครงการก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบจัดการจราจรบนทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก มูลค่า 510 ล้านบาทซึ่งอยู่ในระหว่างรับหลักการ
นอกจาก Backlog ข้างต้น อีกปัจจัยที่สำคัญในการผลักดันรายได้ในกลุ่มสายงานโครงการให้เพิ่มขึ้น เป็นงานโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาและรอผลการประกวดราคา (High Potential) อยู่ประมาณ 28,000 ล้านบาท มาจากกลุ่มธุรกิจต่างๆ ดังต่อไปนี้
- กลุ่มไอซีทีและโทรคมนาคม 16,500 ล้านบาท งานที่สำคัญและอยู่ในระหว่างเจรจาต่อรองได้แก่ โครงการลงทุนในภาคโทรคมนาคมในประเทศเพื่อนบ้าน ประมาณ 9,000 ล้านบาท โครงการส่วนต่อขยายระบบสื่อสาร DWDM มูลค่า 1,900 ล้านบาทและโครงการขยายโครงข่ายการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง SDH ให้กับภาครัฐวิสาหกิจ มูลค่า 1,000 ล้านบาท โครงการติดตั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ และบริการดูแลรักษาให้กับภาคเอกชน จำนวน 1,200 ล้านบาท และภาครัฐ 960 ล้านบาท
- กลุ่มธุรกิจงานโครงการ 6,000 ล้านบาท งานที่สำคัญและรอผลการประกวดราคาคือ งานโครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าให้กับหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ มูลค่ารวม 3,400 ล้านบาท
- กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี 5,500 ล้านบาท งานที่สำคัญและอยู่ในระหว่างติดตามคือโครงการบริหารจัดการน้ำ โดย ล็อกซเล่ย์ ได้ผ่านการคัดเลือกและอยู่ในกลุ่ม Short-list ในเรื่องปรับปรุงระบบคลังข้อมูล มูลค่างานประมาณ 5,000 ล้านบาท
สายงานธุรกิจธุรกิจการค้าและธุรกิจบริการ เน้นกลยุทธ์ขยายฐานทั้งลูกค้าและผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างฐานรายได้ “Recurring Income” ให้กับกลุ่มล็อกซเล่ย์
กลุ่มธุรกิจธุรกิจการค้าและธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นกลุ่มรายได้ที่เป็น “Recurring Income” ตั้งเป้ารายได้รวมจากประมาณ 4,800 ล้านบาทในปีที่แล้ว เป็น 6,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยจะมาจากสายงานธุรกิจการค้า และสายธุรกิจบริการ ประมาณ 5,000 และ 1,000 ล้านบาท ตามลำดับ
สายธุรกิจการค้า รายได้จะมาจากกลุ่ม Food และ Non-food ในสัดส่วนประมาณ 50:50 โดยในกลุ่ม Food สินค้าหลักเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ และธุรกิจอาหาร วางกลยุทธ์ปรับ Business Model เพื่อเสริมจุดแข็งให้แก่ธุรกิจมากขึ้น โดยการลดความเสี่ยงจากการเป็นคนกลาง พัฒนาแบรนด์ของตนเองขึ้นมา การต่อยอดจุดแข็งจากเครือข่ายทางการค้าที่มีมากกว่า 25,000 แห่ง ในการสร้างผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมใน Supply Chain เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ เพิ่มจุดแข็งในการเข้าสู่ตลาด AEC
ในขณะที่กลุ่ม Non-food จะเป็นตัวผลักดันให้รายได้ของธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้น โดยมีกลุ่มเคมีภัณฑ์เป็นฐานรายได้ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ CM&G ซึ่งมีศักยภาพสูงจากงานในมือและโอกาสทางการตลาดจากกลุ่ม InterTrade เป็นตัวผลักดันรายได้ให้โตขึ้น โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์ ซึ่งสินค้าหลักเป็นเคมีภัณฑ์สำหรับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ผลิตสินค้า เช่น ผู้ผลิตผงซักฟอก เครื่องสำอาง อาหาร และยา กลุ่มนี้ทำรายได้เฉลี่ยประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท จากจุดแข็งที่มีคู่ค้าเป็นโรงงานของผู้ผลิตมากกว่า 500 แห่งและมีการทำธุรกิจมานาน กลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญทั้งในแง่รายได้และกำไร
ตัวผลักดันรายได้ที่สำคัญของกลุ่ม Non-food คือกลุ่ม Construction Materials and Green Solution (CM&G) ที่ปัจจุบันมีงาน Backlog ในมือเกือบ 700 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานหลังคารถไฟฟ้าสายสีม่วง รวมทั้งงานที่เป็น High Potential ได้แก่ งานหลังคารถไฟฟ้าสายสีแดงและน้ำเงิน และงานกำจัดขยะแทนระบบฝังกลบ โดยใช้เทคโนโลยีในการแปรขยะเป็นก๊าซชีวภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้า ที่มีมูลค่าโครงการรวมกันประมาณ 2,000 ล้านบาท อีกกลุ่มสำคัญคือ กลุ่ม InterTrade กลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญรองรับ AEC ซึ่งปัจจุบันล็อกซเล่ย์ได้จัดตั้งสำนักงานแล้วที่เวียดนาม ลาว พม่า รวมทั้งกวางเจาในจีน โดยทีม Business Development ได้เข้าไปศึกษาทั้งผลิตภัณฑ์รวมทั้งโอกาสของตลาดใหม่ ซึ่งเป็นผลดีต่อล็อกซเล่ย์ในการขยายฐานการตลาดบนผลิตภัณฑ์เดิม รวมทั้งการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่
สำหรับสายธุรกิจบริการ รายได้หลักจะมาจากธุรกิจความรักษาปลอดภัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็น “Recurring Income” หลักของกลุ่ม ตัวผลักดันที่จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นมาจากการขยายงานสู่สนามบินนานาชาติในต่างจังหวัด และงานนอกสนามบินสำหรับลูกค้ากลุ่มองค์กรเอกชนมากขึ้น นอกจากนี้ธุรกิจบริการได้ปรับกลยุทธ์แผนธุรกิจจาก Airport Security & Technology ไปสู่ Airport Management เพื่อเพิ่มศักยภาพไปสู่สนามบินในต่างประเทศ โดยปัจจุบันได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อศึกษาโครงการบริหารสนามบินในลาว พม่า