ไทคอนแต่งตั้ง บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงินกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 2 พันล้านบาท

ข่าวทั่วไป Friday December 17, 2004 10:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น
บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจการก่อสร้างโรงงานในประเทศไทย ได้ทำการแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เพื่อให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทมูลค่า 2 พันล้านบาท โดยกองทุนนี้มีแผนที่เข้าซื้อโรงงานที่มีผู้เช่าของไทคอนประมาณ 40 แห่ง ส่วนไทคอนคาดว่าจะนำเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินไปใช้ในการขยายธุรกิจก่อสร้างโรงงานของตนเองต่อไป ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราการเติบโตในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่งพาการเพิ่มทุน สำหรับนักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากการที่มีทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ทั้งยังสามารถได้กำไรจากส่วนต่างของราคาเมื่อทรัพย์สินในกองทุนมีค่าเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นายไว เชง ควน กรรมการผู้จัดการของไทคอน ให้ความเห็นว่า “ดังเช่นที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้เห็นมาโดยตลอด บริษัทได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องนับแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2545 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการก่อสร้างโรงงานเพื่อให้เช่านั้นเป็นธุรกิจที่ใช้เงินทุนสูง ดังนั้น เพื่อให้บริษัทสามารถรักษาการเติบโตได้ในระดับสูงเช่นที่ผ่านมา บริษัทจำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนหากไม่มีการปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัท การจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ จะเป็นการช่วยปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ซึ่งทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องอาศัยการเพิ่มทุน และด้วยการขายโรงงานของบริษัทที่มีการเช่าออกไปให้แก่กองทุน บริษัทจะสามารถประยุกต์ใช้ความเชี่ยวชาญของตนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านของ การก่อสร้าง การทำการตลาด การลงทุน การบริหารทรัพย์สิน และการให้บริการแก่ลูกค้า”
นายไว เชง ควน กล่าวต่อไปว่า บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกจากบรรดาที่ปรึกษาทางการเงินและสถาบันการเงินหลายแห่งที่แสดงความสนใจในการระดมทุนของไทคอนครั้งนี้ นับแต่บริษัทได้ประกาศว่าจะมีการจัดตั้งกองทุนขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเหตุผลประการสำคัญในการเลือก บัวหลวงในการทำการระดมทุนครั้งนี้ คือการที่ บัวหลวงมีฐานนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ทั้งของบัวหลวงเองและจากบริษัทแม่คือ ธนาคารกรุงเทพ นอกจากนี้ บัวหลวงยังมีความเข้าใจในตัวบริษัทและธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างดี เนื่องจากบัวหลวงเป็นผู้จัดการและผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท เมื่อครั้งบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2545
การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีความคล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้นสามัญ ทั้งนี้เนื่องจากกองทุนสามารถเติบโตผ่านทางการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเช่า และมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการลงทุนซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี กองทุนดังกล่าวสามารถลงทุนได้เฉพาะในอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น และ 90% ของกำไรของกองทุนต้องถูกจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ทั้งนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงทำให้กองทุนสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจคล้ายคลึงกันโดยทั่วไป
นายชอง โท กรรมการผู้อำนวยการของ บัวหลวง กล่าวว่า การออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลานี้มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าวต่อไปว่า “นักลงทุนในปัจจุบันไม่กล้าที่จะลงทุนในตราสารที่มีอัตราผลตอบแทนสูงดังเช่นตราสารหนี้ เนื่องจากกลัวการขาดทุนในเงินต้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือในการลงทุนซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากการที่กองทุนไม่ต้องเสียภาษี ไม่ใช่การรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น และเมื่อกองทุนเติบโตขึ้น ผู้ถือหน่วยลงทุนยังสามารถที่จะได้รับกำไรจากส่วนต่างของมูลค่าหน่วยลงทุนแทนที่จะต้องขาดทุนเงินต้นอีกด้วย ทั้งนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองนี้จะระดมทุนประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อที่จะเข้าซื้อโรงงานประมาณ 40 แห่งจากไทคอน ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าที่น่าพอใจ ทั้งนี้ โรงงานที่ถูกโอนมายังกองทุนจะยังคงบริหารงานโดยไทคอน ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีเสมือนเป็นตัวเจ้าของโรงงานจริง ที่จะได้รับรายได้ค่าเช่าที่สูงเนื่องจากการให้บริการที่ดีของไทคอน”
นายชอง โท ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “บัวหลวงจะยังคงนำเสนอนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อให้นักลงทุนของบัวหลวงได้รับผลประโยชน์จากการมีเครื่องมือในการลงทุนที่หลากหลาย เรามองเห็นการเติบโตของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มิใช่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเอเชีย ซึ่งกำลังมีความต้องการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก และบัวหลวงมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนไทยต่อไป”
นับแต่การก่อตั้งในปี 2533 ไทคอนเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาโรงงานแบบมาตรฐานเพื่อให้เช่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 บริษัทเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผู้เช่าแล้วจำนวน 133 หน่วย และยังมีอีก 84 หน่วย ที่เป็นโรงงานที่ยังไม่มีผู้เช่าหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโรงงานเหล่านี้มีขนาดระหว่าง 1,000 ถึง 6,000 ตารางเมตร และตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรม 10 แห่งในจังหวัด อยุธยา ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร
นายไว เชง ควน ทิ้งท้ายว่า การจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้จะให้ประโยชน์หลายด้าน เนื่องจากจะทำให้ไทคอนสามารถได้เงินทุนเพื่อใช้สำหรับรักษาระดับการเติบโตของการก่อสร้างโรงงานของบริษัทได้ในอัตราปัจจุบัน และยังทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องมีการเพิ่มทุน นอกจากนี้ กองทุนนี้ยังเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีและสม่ำเสมอสำหรับนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน และยังเป็นกองทุนที่สามารถเติบโตต่อไปได้ในอนาคตอีกด้วย อย่างไรก็ดี ลูกค้าผู้เช่าโรงงานของไทคอนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เนื่องจากบริษัทยังคงเป็นผู้บริหารทรัพย์สินและให้บริการแก่ลูกค้าด้วยตนเองเช่นเดิม ทั้งนี้ ไทคอนยังได้ให้ความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในความสำคัญของกองทุนที่มีต่อบริษัท โดยไทคอนมีแผนการที่จะถือหุ้นส่วนใหญ่ในกองทุน และจะเป็นผู้บริหารทรัพย์สินของกองทุนอีกด้วย
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน)
1. เอียน ฮามิลตัน ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ โทร: 66(0) 2-679-6569
email: ian@ticon.co.th
2. ลลิตพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงิน โทร: 66(0) 2-679-6569
email: Lalitphant.Phiriyaphant@ticon.co.th--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ