กรุงเทพฯ--18 มี.ค.--มูลนิธิเอสซีจี
ประกาศผลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ ‘รางวัลศิลปะเพื่อเยาวชนไทย 2555’หรือ ‘Young Thai Artist Award 2012’ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 โดยมูลนิธิเอสซีจี ถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้เด็กไทยที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์งานศิลปะทั้ง 6 แขนง คือ ศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย วรรณกรรม การประพันธ์ดนตรี และภาพยนตร์ ได้แสดงความสามารถทางศิลปะออกสู่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้นมูลนิธิเอสซีจียังจัดกิจกรรมเพื่อต่อยอดความสามารถของน้องๆ ยุวศิลปิน โดยครั้งนี้เริ่มกันที่กิจกรรม ‘วิจารณ์หนังสั้น’กับ พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร
คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ ผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจีกล่าวว่า“มูลนิธิเอสซีจีจัดงานวิจารณ์หนังสั้นขึ้นปีนี้เป็นปีที่ 2 เพื่อเป็นการต่อยอดจากงานประกาศผลรางวัลที่เพิ่งสิ้นสุดไป ต้นกล้าพันธุ์งามแห่งวงการหนังทั้ง 6 ต้นได้ถูกปลูกขึ้นแล้วและรอเวลาที่จะเจริญเติบโตต่อไป อย่างไรก็ดี การจะเติบโตอย่างงดงาม ต้นกล้าเหล่านี้ย่อมต้องผ่านการดูแลตัดแต่งและรดน้ำพรวนดิน เปรียบกับงานหนัง เมื่อมีคนทำหนังขึ้นมาสักเรื่อง ก็ควรที่จะมีคนคอยชี้แนะและวิจารณ์เพื่อให้คนทำหนังได้ทราบว่าผลงานของตนเป็นอย่างไรมีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพในการทำหนังให้ดียิ่งขึ้นไปอีก”
การวิจารณ์หนังสั้นผ่านมุมมองของหนึ่งในยอดฝีมือแห่งวงการหนังไทยอย่าง พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตรผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้างและกรรมการตัดสินสาขาภาพยนตร์ รางวัล ‘Young Thai Artist Award 2012’จัดขึ้น ณ ห้องนิทรรศการ 5 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหอศิลป ถนนเจ้าฟ้าพี่อุ๋ยและน้องๆ ผู้ได้รับรางวัลในสาขาภาพยนตร์ทั้ง 6 คน รวมทั้งผู้ร่วมงาน ต่างนั่งดูหนังไปพร้อมๆ กัน โดยพี่อุ๋ยทำหน้าที่วิจารณ์ผลงานของน้องๆ แต่ละคนอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์เชิงแนวคิด การนำเสนอ ตลอดจนการทำโปรดักชั่น บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปอย่างกันเองประสาพี่สอนน้อง เพื่อให้ทุกคนทราบว่าตัวเองมีตรงไหนที่ควรพัฒนา ปรับแก้ และนำไปสู่การต่อยอดเพื่อให้น้องๆ กลายเป็นคนทำหนังมืออาชีพ
ปัจจุบัน วงการภาพยนตร์มีความตื่นตัวเป็นอย่างมากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และยิ่งไปกว่านั้นคือ มีผู้กำกับหน้าใหม่ฝีมือดีเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอจากทั่วทุกมุมโลก พี่อุ๋ยจึงได้ฝากข้อคิดกับน้องๆ ว่า
“การจะก้าวไปเป็นคนทำหนังมืออาชีพนั้น น้องๆ จะต้องฝึกฝนตนเองอย่างมาก ไม่มีใครทำหนังเรื่องเดียวแล้วจะเป็นสุดยอดฝีมือ ต้องพัฒนาตัวเองทั้งในแง่ความคิด เทคนิควิธีการถ่ายทอดสู่คนดู และในแง่โปรดักชั่น การฝึกฝนตนเองจึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ หากเราหยุดคิดหยุดทำ ไม่เพียงแค่เราจะหยุดอยู่กับที่เท่านั้น แต่นั่นหมายถึงการถอยหลังเพราะคนอื่นเขาเดินหน้าทุกวัน
เราต้องทำหนังของตัวเองให้แข็งแรง นั่นหมายถึงเราต้องรู้จักตัวเองและค้นหาลายเซ็นของหนังเราให้ได้ อย่าลืมว่าต่างชาติดูหนังของเราเพราะเขาอยากเห็นความเป็นเรา การพยายามจะทำหนังให้เป็นเหมือนผู้กำกับคนโน้นคนนี้มันไม่เคยได้ผล เพราะต่างชาติก็อยากเห็นหนังไทย อยากรู้ว่าคนไทยคิดอะไร อย่างไร การคิดอย่างที่เราเป็นอย่างที่เราดำเนินชีวิต นั่นต่างหากที่เขาอยากดู”
และสำหรับน้องๆ ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมและรางวัลดีเด่นจากเวที ‘Young Thai Artist Award2012’สาขาภาพยนตร์ทั้ง 6 คนนั้น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการได้ฟังคำวิจารณ์จากผู้มีประสบการณ์ตรงและอยู่ในสายอาชีพ ทำให้มุมมองในการเดินตามฝันของตนในแวดวงภาพยนตร์มีทิศทางมากขึ้น โดยน้องไท ประดิษฐเกษร เจ้าของรางวัลยอดเยี่ยมผู้สร้างหนังสั้นเรื่อง ‘Battle’ได้ถ่ายทอดความรู้สึกกับเราว่า
“งานนี้มีประโยชน์มาก สิ่งที่สำคัญสำหรับคนทำหนังคือ ต้องการทราบเสียงสะท้อนจากคนดูจะได้ทราบว่าควรปรับปรุงอะไร คำแนะนำในวันนี้ผมจะนำไปปรับใช้ และจะพยายามฝึกฝนตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง”
สำหรับ น้องบอล คณธร ทับวิไล ผู้ได้รับรางวัลดีเด่นสาขาภาพยนตร์ จากหนังเรื่อง ‘ทางกลับบ้าน’ กล่าวว่า
“ผมคิดว่า อย่างน้อยที่สุดการได้ทำหนังแล้วมีคนวิจารณ์หนังอย่าง พี่อุ๋ย นนทรีย์ ก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และน่าภูมิใจมาก การวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนางานชิ้นถัดไป การได้รางวัลจากเวทีนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการค้นหาลายเซ็นและทางหนังของตัวเองให้ชัดเจนขึ้น”
กิจกรรม ‘วิจารณ์หนังสั้น’ ที่มูลนิธิเอสซีจี จัดขึ้นในครั้งนี้จึงไม่เพียงช่วยให้น้องๆ ได้แง่คิดดีๆ จากมุมมองของคนทำหนังที่มีชื่อเสียง แต่ยังก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการต่อยอดการทำหนังอย่างมืออาชีพอีกด้วย มูลนิธิเอสซีจีเชื่อมั่นว่าการไม่หยุดที่จะเรียนรู้ของน้องๆ และการมีผู้ชี้แนะที่ดีนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการบ่มเพาะต้นกล้าแห่งวงการภาพยนตร์เหล่านี้ให้เจริญงอกงามต่อไป