กรุงเทพฯ--21 มี.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบายรัฐบาล โชว์ 2 ยุทธศาสตร์ พัฒนา SMEs ไทยให้โดดเด่นในประชาคมอาเซียน อันได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถของSMEs และสินค้า OTOP สู่สากล ภายใต้กรอบการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Growth & Competitiveness) เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง และการสร้างโอกาสและรายได้แก่ SMEs และเศรษฐกิจชุมชน ภายใต้กรอบการลดความเหลื่อมล้ำ (Inclusive Growth) ตลอดจนเตรียมจัดสรรงบประมาณกว่า 22,300 ล้านบาทดัน SMEs รวมไปถึงการปรับโครงสร้างการส่งเสริมพัฒนา SMEs ใหม่ โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นกระทรวงเจ้าภาพที่บูรณาการการส่งเสริมพัฒนา SMEs ในแต่ละอุตสาหกรรม โดยใช้ลักษณะยุทธศาสตร์ที่เป็นที่ตั้ง ทุกฝ่ายช่วยกันและบูรณาการเรื่องการซ้ำซ้อน เพื่อเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลเต็มที่ ไม่ทำงานแบบแค่กระทรวงต่อไป ซึ่งคาดว่า SMEs ได้จะได้รับการพัฒนาและส่งเสริมสูงสุด อีกทั้งยังเตรียมดำเนิน 5 แนวทาง สำหรับการส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการปรับตัวกับฐานค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีจำนวนจำนวนทั้งสิ้น 2,652,854 ราย มีสัดส่วนถึงร้อยละ 99.76 ของวิสาหกิจทั้งหมด มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของ SMEs คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 37.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศและมูลค่าการส่งออกของSMEs มีมูลค่าประมาณ 1.75 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28.4 ของมูลค่าส่งออกรวมของประเทศ ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เบอร์โทรศัพท์ 02-202-4414 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th
นายโสภณ ผลประสิทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของ SMEs และกำหนดให้การพัฒนา SMEs เป็นประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์ประเทศ และ ผนวกการพัฒนา SMEs เข้ากับแผนยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าในการเพิ่มสัดส่วน SMEs ต่อ GDP ให้มากกว่าร้อยละ 40 ต่อ GDP ภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปี และยังได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ 2 ประการคือ
1) การเพิ่มขีดความสามารถของSMEs และสินค้า OTOP สู่สากล ภายใต้กรอบการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Growth & Competitiveness) เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง
2) การสร้างโอกาสและรายได้แก่ SMEs และเศรษฐกิจชุมชน ภายใต้กรอบการลดความเหลื่อมล้ำ (Inclusive Growth)
ตลอดจนการสรรงบประมาณในปี พ.ศ.2557 เพื่อการพัฒนา SMEs ภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณด้านการเร่งรัดพัฒนาประเทศและเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน โดยในการจัดทำงบประมาณเพื่อการพัฒนา SMEs ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพในการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งดูแลด้านการวิจัยและพัฒนา กระทรวงศึกษาธิการซึ่งดูแลด้านการยกระดับคุณภาพความรู้และเพิ่มศักยภาพชุมชนผู้ประกอบการ กระทรวงพาณิชย์ซึ่งดูแลด้านการค้าและการส่งออก กระทรวงการคลังซึ่งดูแลเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุน รวมทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เป็นต้น ทั้งนี้ ก็ด้วยความต้องการที่จะเห็นความเชื่อมโยงของงานและภาพของการส่งเสริมSMEs ที่หน่วยงานกระทรวงและกรมต่างๆ มีความร่วมมือกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน อันจะลดภาระงานและงบประมาณของประเทศ โดยเบื้องต้นมีกระทรวงต่างๆ ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนา SMEs รวมถึง 22,300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ สำนักงบประมาณกำลังพิจารณารายละเอียดคำของบประมาณของส่วนราชการต่างๆ เพื่อดำเนินการจัดสรรให้ตามความเหมาะสมต่อไป นายโสภณ กล่าวเพิ่มเติม
นายโสภณ กล่าวต่อว่า ในปี 2556 และต่อจากนี้ไปจะเป็นยุคทอง แห่ง SMEs ได้ เพราะรัฐบาลได้ปรับโครงสร้างการส่งเสริมพัฒนา SMEs ใหม่ โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นกระทรวงเจ้าภาพที่บูรณาการการส่งเสริมพัฒนา SMEs ในแต่ละอุตสาหกรรม จะต้องมีการพิจารณาถึงการนำเทคโนโลยี หรือ IT เข้ามาใช้เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้ง การทำวิจัยและพัฒนา(R&D) เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยลดความซ้ำซ้อนต่างๆ ลง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยมีหน่วยงานวิจัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่ถ้าต่างคนต่างวิจัย ก็จะเป็นการวิจัยซ้ำซ้อน นี่คือสิ่งที่หน่วยงานต่างๆ ต้องตกลงกันโดยใช้ลักษณะยุทธศาสตร์ที่เป็นที่ตั้ง ทุกฝ่ายช่วยกันและบูรณาการเรื่องการซ้ำซ้อน เพื่อเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลเต็มที่ ถ้าหน่วยงานที่เป็นต้นสังกัดวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน แล้วประสานกับหน่วยงานจากกระทรวงอื่นโดยยึดยุทธศาสตร์เป็นที่ตั้งการส่งเสริม SMEs ก็จะมีการบูรณาการกันมากขึ้น ไม่ทำงานแบบแค่กระทรวงต่อไป ซึ่งคาดว่า SMEs ได้จะได้รับการพัฒนาและส่งเสริมสูงสุด
สำหรับการส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการปรับตัวกับฐานค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบายของรัฐบาล มีแนวทาง 5 แนวทางในการส่งเสริมดังนี้
1. มาตรการเพื่อเสริมสภาพคล่อง เพิ่มวงเงิน ลดต้นทุนทางการเงิน โดยผ่านกระบวนการให้สินเชื่อ ได้แก่ มาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการเสริมสร้างสภาพคล่องสถานประกอบการ และเพิ่มผลผลิตแรงงาน มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) มาตรการการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up)
2. มาตรการลดต้นทุนผู้ประกอบการ โดยผ่านกระบวนการทางภาษีและเงินสมทบ ได้แก่ มาตรการการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม มาตรการการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการการนำส่วนต่างของค่าจ้างที่จ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี พ.ศ. 2555 เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท มาหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนชำระภาษี มาตรการการนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงานมาหักลดหย่อนภาษี มาตรการการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และ มาตรการการหักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร เป็นต้น
3. มาตรการเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้ผู้ประกอบการ ได้แก่ มาตรการการให้กู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 เพื่อใช้ในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ มาตรการการจัดคลินิกพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ไปยังสถานประกอบการต่างๆ
4. มาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการโดยการทบทวนค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ได้แก่ มาตรการการปรับเพิ่มอัตราค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมสัมมนาของส่วนราชการ
5. มาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการขายโดยผ่านการบริโภค ได้แก่ มาตรการการจัดคาราวานสินค้าราคาถูกไปจำหน่ายให้ลูกจ้างในสถานประกอบการ
ปัจจุบัน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ถือเป็นกลไกหลักในการเสริมสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยปัจจุบันมีจำนวนจำนวนทั้งสิ้น 2,652,854 ราย จำแนกเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) จำนวน2,646,549 ราย จำแนกเป็นวิสาหกิจขนาดย่อม จำนวน 2,634,840 ราย วิสาหกิจขนาดกลางจำนวน11,709 ราย และเป็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ จำนวน6,253 ราย โดยSMEs มีสัดส่วนถึงร้อยละ 99.76 ของวิสาหกิจทั้งหมด
นอกจากนี้ SMEs ยังเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของประเทศ โดยมีการจ้างงานคิดเป็นร้อยละ 78 ของการจ้างงานรวมของประเทศ มีมูลค่าลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของ SMEs คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้?อยละ 37.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศและมูลค่าการส่งออกของSMEs มีมูลค่าประมาณ 1.75 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28.4 ของมูลค่าส่งออกรวมของประเทศ นายโสภณ กล่าวสรุป
สำหรับผู้ประกอบการหรือประชาชนทั่วไป สามารถเข้าร่วมโครงการกับทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และขอรับคำปรึกษาแนะนำโดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เบอร์โทรศัพท์ 02-202-4414 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th