กรุงเทพฯ--31 มี.ค.--เอชทูโอ ไลฟ ซอร์ส
นายไพฑูรย์ โตวรวิรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชทูโอ ไลฟ ซอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าเครื่องผลิตน้ำอัลคาไลน์ เควายเค จากประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า จากการที่ตลาดเครื่องกรองน้ำในประเทศไทยมีการแข่งขันกันสูง โดยมีราคาแตกต่างกันตามประสิทธิภาพการใช้งาน ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน แต่โดยเฉลี่ยราคากลางจะอยู่ที่ประมาณ 15,000-50,000 บาท บริษัทฯซึ่งเป็นผู้นำเข้าเครื่องผลิตน้ำอัลคาไลน์ซึ่งมีคุณสมบัติที่เป็นทั้งเครื่องกรองน้ำและขณะเดียวกันยังได้น้ำด่างที่มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยใช้เทคโนโลยีระดับสูงของสถาบันวิจัยเควายเค สถาบันวิจัยด้านสุขภาพและความงามที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้านอาหารและยาของ สหรัฐอเมริกา , ญี่ปุ่น และเกาหลี ด้วยเหตุที่เครื่องมีคุณสมบัติแบบทูอินวันที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องกรองน้ำทั่วไปนี่เองจึงทำให้มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 59,900- 89,900 บาท หากเปรียบเทียบราคาในตลาด ผลิตภัณฑ์ของเอชทูโออยู่ในตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่สูงกว่าเครื่องกรองน้ำที่วางขายกันในตลาด ช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯจึงเน้นการทำตลาดในกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ซึ่งเป็นกลุ่มพรีเมี่ยมที่เป็นคนที่ใส่ใจและดูแลสุขภาพจึงเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม(นิชมาร์เก็ต) โดยผลการตอบรับจากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นไปได้ดี บริษัทฯจึงต้องการขยายตลาดไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มแมสมากขึ้น จึงได้นำเข้าเครื่องผลิตน้ำอัลคาไลน์รุ่นราคาน่าลอง ภายใต้ชื่อรุ่นเควายเคเพิร์ล ซึ่งเป็นรุ่นราคาประหยัดเพียง 39,900 บาท มีคุณสมบัติในการผลิตน้ำอัลคาไลน์เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ แต่ออกแบบมาให้เล็กกะทัดรัด มีไส้กรองพิเศษ 8 ชั้น ช่วยแยกสารปนเปื้อนและโลหะหนัก ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย จึงทำให้ได้น้ำที่สะอาดปราศจากสารปนเปื้อน และยังมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มีความเป็นอัลคาไลน์หรือค่าความเป็นด่าง มีประจุลบช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถเลือกปรับระดับค่าพีเอชในน้ำได้ถึง 9 ระดับ ตัวเครื่องมีอายุการใช้งานทนทาน 10 ปี จุดเด่นด้านดีไซน์สวยงาม หน้าจอแอลซีดี ซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าเควายเคเพิร์ลจะมาสร้างสีสันให้กับตลาดเครื่องกรองน้ำในบ้านเราเกิดการตื่นตัว และกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วยราคาที่จูงใจ เพราะหากเปรียบเทียบราคามีความใกล้เคียงกับเครื่องกรองน้ำทั่วไปแต่ได้ประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้นด้วยคุณสมบัติของน้ำอัลคาไลน์ โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าจะขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าในระดับ C+ขึ้นไปได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น