กรุงเทพฯ--28 ธ.ค.--ที.เอ็น.ที.พับลิค รีเลชั่น
แพทย์ศัลยกรรมออกโรงเตือนสาวไทยที่ต้องการเสริมสวยด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ต้องมั่นใจว่าผ่านการรับรองจาก อ.ย. และใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หวั่นเกิดเหตุซ้ำรอยคนไข้ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้
จากกรณีที่มีข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีผู้ป่วยสี่รายที่เข้ารับการรักษาริ้วรอยบนใบหน้าที่สถานพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐฟลอลิดา ด้วยการฉีด “โบท็อกซ์” หลังจากนั้นเกิดอาการล้มป่วยและทรุดหนักจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและให้อาหารทางสายยาง ทางสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบริษัทอัลเลอร์แกน ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตสารโบท็อกซ์อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ได้ทำการตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้น ผลการรับรองจาก FDA ปรากฏว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาจากแพทย์ที่ไม่ได้รับอนุญาตในรัฐฟลอริด้า และได้รับสารโบทูลินัม ท็อกซินที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในคน ซึ่งสารเหล่านี้มิได้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงมีการใช้สารที่ในปริมาณที่มาก โดยที่โบท็อกซ์จะมีปริมาณการบรรจุต่อขวดเท่ากับ 100 หน่วย ในขณะที่สารที่คลินิคนี้สั่งซื้อเข้ามานั้น มีปริมาณการบรรจุถึง 20,000 หน่วย จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้ โบท็อกซ์เป็นสารโบทูลินัม ท็อกซิน ชนิด เอ ที่ได้รับการอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ให้ใช้ในทางการแพทย์และเพื่อความสวยงาม เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่ก็ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษารอยย่นระหว่างคิ้วได้ รวมทั้งใช้ในการรักษาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อได้ หน่วยกลางขององค์การอาหารและยา ซึ่งทำหน้าที่ในการวิจัยและประเมินผลยา (CDER) ยืนยันว่า ตั้งแต่มีการอนุญาตให้ใช้โบท็อกซ์เป็นครั้งแรกในสหรัฐเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐยังไม่เคยได้รับรายงานเรื่องอาการเป็นพิษจากการใช้โบท็อกซ์
พ.ญ.นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ เลขาธิการสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณแห่งประเทศไทย และอาจารย์พิเศษทางด้านผิวพรรณ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวเตือนว่า สำหรับคนไทยที่ต้องการเสริมสวยด้วยวิธีการฉีด"โบท็อกซ์"นั้นควรแน่ใจว่าได้รับบริการจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและได้ใช้สารโบท็อกซ์ของแท้ ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรือ อ.ย. เท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วอาจเกิดกรณีผิดพลาดทางเทคนิคดังกล่าวได้ ในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานกรณีเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้น อาการที่ไม่พึงประสงค์ของการฉีดโบท็อกซ์ จะมีไม่มากนัก อย่างเช่น หนังตาตก หรือคิ้วตก ซึ่งจะพบก็เพียง 1ใน 200 รายเท่านั้นตามที่บริษัทฯผู้ผลิตได้รายงานไว้ แต่อาจจะมีโอกาสเป็นมากขึ้นหากไม่ได้ใช้ โบทูลินั่ม ท็อกซินที่ได้รับมาตรฐาน สาเหตุสำคัญเกิดจากการที่แพทย์หรือผู้ฉีดไม่มีความชำนาญหรือฉีดเข้าผิดที่ เนื่องจากไม่ได้รับการฝึกฝนเพียงพอ ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เพื่อความงามนั้นต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวและประสบการณ์ของแพทย์อย่างมาก การใช้ปริมาณเกินกว่าควร ก็อาจทำให้เกิดปัญหาตามมา จึงอยากจะขอแนะนำให้ผู้บริโภคสอบถามจากแพทย์ที่ท่านเลือกรักษาด้วยว่าโบท็อกซ์ที่ท่านจะได้รับเป็นของแท้หรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันมีของเลียนแบบออกมา และส่วนผสมก็แตกต่างกันไป
ทั้งนี้ โบท๊อกซ์เป็นเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนชื่อโบทูลินัม ท็อกซินบริสุทธิ์ ซึ่งสกัดจากจุลินทรีย์ชื่อ Clostridium botulinum เมื่อนำมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสม จะสามารถกระชับผิวให้ตึงได้ เพราะโบท็อกซ์มีคุณสมบัติในการควบคุมปลายประสาทของกล้ามเนื้อที่มีริ้วรอย เช่น รอยยับกลางหน้าผาก รอยย่นที่หัวคิ้ว หางตาตกและรอยตีนกา เมื่อฉีดในตำแหน่งและปริมาณยาที่เหมาะสมแล้ว สามารถที่จะทุเลาริ้วรอยได้ทันทีจากการรักษาในครั้งแรก และเมื่อมีการเติมสารนี้ซ้ำตามที่แพทย์กำหนดสามถึงสี่ครั้งก็อาจช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ แต่แพทย์ผู้รักษาจะต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญในการกำหนดตำแหน่งที่จะฉีดสารนี้ รวมทั้งใช้ปริมาณยาและระยะเวลาที่เหมาะสม ที่จะทำให้ใบหน้าของผู้รับรักษาดูเป็นธรรมชาติ
ส่วนผลข้างเคียงหลังการรักษาอาจจะมีเล็กน้อย เช่น อาการปวดหัว หายใจติดขัด เป็นไข้ ตาปรือ และคลื่นเหียนอาเจียน ปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตโบท็อกซ์ ได้มีการตีพิมพ์เอกสารทางการแพทย์ถึงผลการใช้มานานกว่า 10 ปี ซึ่งยังคงปลอดภัยต่อผู้บริโภคอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลการใช้ต่อเนื่องที่นานกว่านั้น ยังคงต้องติดตามผลต่อไปอย่างใกล้ชิด
“ก่อนจะตัดสินใจใช้โบท็อกซ์หรือทำศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความงามชนิดใดก็ตามควรต้องนั่งคุยกับหมอ ปรึกษาหมออย่างรอบคอบ ซึ่งผู้ที่เหมาะสมกับการใช้โบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยบนผิวหน้าควรมีอายุไม่มากจนเกินไป หรือหากมีริ้วรอยมากจนเกินไปก็ควรคำนึงถึงการรักษาด้วยวิธีอื่น แต่เพื่อให้แน่ใจ คงต้องปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริง พ.ญ.นันทภัทร์ กล่าวแนะนำ--จบ--