กรุงเทพฯ--1 เม.ย.--IR network
บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) โกอินเตอร์ขนข้อมูลไปโรดโชว์กับผู้ลงทุนโซนยุโรป 9 แห่ง รวม 4 ประเทศ ตลอดเดือนเมษายนนี้ ประกาศให้รู้ว่าบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยก็มีดีไม่แพ้ชาติใดในโลกเหมือนกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นหลังเทรดควบสองตลาด "ขจรพงศ์ คำดี" ระบุบินโชว์ตัวครั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจธุรกิจ มองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคต หลังจากมีเหมืองถ่านหินเป็นของตัวเอง และสามารถดำเนินธุรกิจตาม Mission 5 ปี 5 เหมือง 5 ประเทศได้ตามแผน เชื่อการนำเสนอข้อมูลครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่มีค่าและได้รับการตอบรับที่ดี พร้อมประกาศปีนี้มั่นใจปริมาณการจัดจำหน่ายถ่านหินจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 8 ล้านตันต่อปีชัวร์
นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 6-13 เมษายนนี้ คณะผู้บริหารและทีมงานของบริษัท จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูลของบริษัท (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส, เมืองเจนีวา,เมืองซูริค เมืองลูกาโน่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมณี และหลังจากนั้นระหว่างวันที่ 21-27 เมษายน 2556 จะเดินทางไปโรดโชว์ต่อที่เมืองมิวนิค ,แฟรงค์เฟิร์ท,ฮัมเบิร์ก , เบอร์ลิน ประเทศเยอรมณี และกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยร่วมกับบริษัท CM EQUITY ซึ่งตามแผนบริษัทจะโรดโชว์ให้กับนักลงทุนในโซนยุโรปทุกๆ ไตรมาส
การโรดโชว์ของบริษัทในครั้งนี้ เป็นการนำเสนอข้อมูลของ EARTH ซึ่งใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต คือ 1EE เพื่อให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความสำคัญในการเข้ามาลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่ประเทศไทย (บจ.) ซึ่งในภาพรวมยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสำหรับธุรกิจถ่านหินที่ EARTH ดำเนินการอยู่ก็ได้รับความสนใจเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในธุรกิจพลังงานซึ่งมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากในอนาคต โดยข้อมูลที่นำไปโรดโชว์ครั้งนี้จะเน้นย้ำถึงการเติบโตของภาพรวมอุตสาหกรรม แนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่มีทิศทางขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ แผนการเพิ่มเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ของบริษัทให้ครบ 5 เหมืองตาม Mission 5 ปี 5 เหมือง 5 ประเทศ จากปัจจุบันมีเหมืองถ่านหินของตัวเองจำนวน 3 แห่ง คิดเป็นปริมาณสำรองถ่านหินรวมทั้งสิ้น 45 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 45,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างทำ JORC กับเหมือง HARY ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณสำรองประมาณ 30-40 ล้านตัน มีผลให้บริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินเพิ่มขึ้นอีกเป็น 75 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าต้นทุนที่ประมาณ 75,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่บริษัทไม่ได้ลงบัญชีแต่เป็นสินทรัพย์ที่อยู่ในดินเมื่อขุดขึ้นมาก็จะเป็นมูลค่ายอดขายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และใน 5 ปีต่อจากนี้ EARTH วาง Mission จะมีปริมาณสำรองถ่านหินรวมทั้งสิ้นประมาณ 200 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท ที่สำคัญคือ EARTH จะมีแหล่งสำรองถ่านหิน (Reserve) ที่จะรองรับความต้องการของลูกค้าได้นานถึง 10 ปี ซึ่งทำให้ฐานธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต
“การเดินทางไปโรดโชว์ให้กับนักลงทุนโซนยุโรปในครั้งนี้ บริษัทได้ให้น้ำหนักไปที่การพบปะนักลงทุนกลุ่มใหม่ๆ ประมาณ 300 รายทั้งนักลงทุนสถาบันและ กลุ่ม Private investment เพื่อขยายฐานนักลงทุนให้กว้างขึ้น ถือเป็นการตอกย้ำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจในธุรกิจ และศักยภาพในการเติบโตของ “เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ” มากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ลงทุนได้เข้าใจในธุรกิจของบริษัทแล้ว ในส่วนของเราเองก็ได้ประสบการณ์ที่ดี มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้รับฟังมุมมองของนักลงทุน และแนวทางในการดำเนินธุรกิจ อันจะเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาบริษัทต่อไป คาดว่าจะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในศักยภาพของบริษัท รวมถึงมองเห็นภาพที่ชัดแจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อแนวโน้มการลงทุนในหุ้น EARTH จากผู้ลงทุนต่างชาติ"
เขากล่าวต่อว่าธุรกิจพลังงานถ่านหินยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก มีความต้องการใช้ทั้งในและต่างประเทศ และมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นพลังงานทางเลือกที่มีราคาต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำมัน ผนวกกับบริษัทสามารถขุดถ่านหินจากเหมืองถ่านหินของตนเองที่ประเทศอินโดนีเซียส่งขายได้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเหมืองในประเทศพม่าซึ่งจะสามารถออกถ่านหินได้ภายในปลายปีนี้ จึงทำให้เชื่อว่าปริมาณการจำหน่ายถ่านหินปี 2556 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8 ล้านตันในปีนี้ได้
ทั้งนี้ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ ยังคงเดินตามแผนโดยการเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหิน (Mining) ที่มีปริมาณสำรองของถ่านหินในปริมาณค่อนข้างสูง เพื่อลดความเสี่ยงในด้านการจัดหาวัตถุดิบ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวต่อบริษัท อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้ในระยะยาวเนื่องจากมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของบริษัทเอง รวมถึงทำให้อัตรากำไรดีขึ้น ทำให้โครงสร้างเงินทุนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และท้ายที่สุดคือสามารถสร้างตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ถือหุ้น ควบคู่กับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง