‘วีเอ็นยูฯ’ บุกตลาดไมซ์ประเทศไทย จับมือทีเส็บตั้งเป้าปี’56 ขยายตัวกว่า 25% มุ่งเจาะตลาดสินค้าเกษตร-ปศุสัตว์ หวังดันไทยเป็นศูนย์กลางในอาเซียน

ข่าวทั่วไป Tuesday April 9, 2013 11:10 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 เม.ย.--มีเดีย พลัส คอนเนคชั่น บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ผู้จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการชั้นนำระดับสากล เดินหน้า บุกตลาดธุรกิจไมซ์ (MICE) ในกลุ่มงานแสดงสินค้านานาชาติด้านสินค้าเกษตร-ปศุสัตว์ ขานรับเออีซี พร้อมสนองนโยบาย การขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศในเอเชีย และอาเซียนพลัส 6 คาดการณ์บริษัทฯ ต้องเติบโตมากขึ้นกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ พร้อมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์ และศูนย์กลางด้านการเกษตร-ปศุสัตว์แห่งภูมิภาคอาเซียน ในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการจัดประชุมบริษัทข้ามชาติ การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ หรือไมซ์ (MICE) ของไทยสามารถทำรายได้ให้ประเทศกว่า 7.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็น สัดส่วนกว่าร้อยละ 9.49% ของรายได้ที่ได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศทั้งหมด และมีจำนวนกลุ่มนักท่องเที่ยว จากกลุ่มไมซ์นี้ทั้งหมดกว่า 9 แสนคน แสดงให้เห็นถึงความนิยมของนานาชาติในการเลือกประเทศไทยเป็นเป้าหมาย ปลายทางในการจัดงานต่างๆ นายจีราด วิลเล็ม ลีย์เวนเบิร์ก กรรมการผู้จัดการบริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด กล่าวว่า “เพราะเราเล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายตัวของธุรกิจด้านการเกษตร และปศุสัตว์ของไทย จากการการรวมกลุ่ม ทางเศรษฐกิจเป็น “ตลาดและฐานการผลิตเดียว” ของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้นำทั้ง ในด้านการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ผนวกกับพื้นฐานการดำเนินงานบริษัทฯ ที่เกิดจากการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด และบริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ ยุโรป จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานแสดงสินค้า และนิทรรศการระดับนานาชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเกษตรและปศุสัตว์มาเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี ทางบริษัทฯ จึงเน้นที่การจัดงานทางด้านนี้เป็นพิเศษ ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้มแข็งและขยายตลาดธุรกิจด้านการเกษตร และปศุสัตว์ของไทยให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ทางบริษัทฯ มีนโยบายเพื่อเตรียมรุกตลาดกลุ่ม ประเทศอาเซียน และกลุ่มประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้นอีก อันได้แก่ อินเดีย เวียดนาม จีน และพม่า ฯลฯ ซึ่งจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับความต้องการขั้นพื้นฐานของคน อาทิเช่น พืชผลทางการเกษตร และผลผลิตทางด้านปศุสัตว์ที่เป็นอาหารได้ (กระบวนการและการผลิตโปรตีนจากสัตว์, กระบวนการและการผลิตผัก ผลไม้สด) และทางด้านการแพทย์ รวมถึงมองหาโอกาสใหม่ๆในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพลังงาน, ระบบน้ำ เพื่อการผลิตที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีแผนการที่จะเปิดตัวงานแสดงสินค้าและนิทรรศการประเภทใหม่ที่มุ่งเน้นการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการและผู้ประกอบการด้วยกันเอง (B2B Exhibitions) และการแสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ โดยการจับมือร่วมกัน กับบริษัทผู้จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการประเภทที่มุ่งเน้นการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการและผู้ประกอบการด้วยกันเอง (B2B Tradeshow Organizer) โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานการทำงานอย่างมีคุณภาพ เฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา ทั้งในส่วนของผู้เข้าร่วมงานแสดง และผู้เข้าชมงานแสดงต่างๆ ซึ่งจะต้องได้ประโยชน์ และประสบการณ์ที่ดีและคุ้มค่าที่สุด” สำหรับในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการจัดงานแสดงสินค้า และนิทรรศการด้านการเกษตร และปศุสัตว์ที่ยิ่งใหญ่กว่า 7 งาน ในปีนี้เองทางบริษัทฯ จะมีการดำเนินการจัดงานที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้เข้าชม งานที่คาดการณ์ว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นในแต่ละงาน โดยเฉพาะการจัดงานแรกของปี 2556 อย่างงานวิฟเอเชีย 2013 ในวันที่ 13-15 มีนาคม 2556 ซึ่งเป็นงานครั้งยิ่งใหญ่ที่จัด 2 ปีต่อครั้ง โดยปีนี้ได้มีบริษัทชั้นนำมากมายเข้าร่วมงานกว่า 750 บริษัท ทั้งจากกลุ่มตลาดเดิมๆ และกลุ่มตลาดใหม่อย่างประเทศบังกลาเทศ ศรีลังกา และกลุ่มยุโรปตะวันออก เป็นต้น และครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วย ‘คันทรี่ พาวิลเลี่ยน’ ที่จะแสดงวิวัฒนาการของปศุสัตว์ของแต่ละประเทศ การจัดสัมมนา ในหัวข้อต่างๆ ที่จะให้ความรู้กับผู้ที่สนใจ อาทิเช่น สุขภาพของสัตว์, โรคของสัตว์, เครื่องมือในโรงเลี้ยง เป็นต้น และพิเศษสุดด้วยการจัดงาน AQUATIC ASIA 2013 ซึ่งจะเน้นในเรื่องของสัตว์น้ำเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงานทั้งหมดกว่า 30,000 คน ในขณะที่ช่วงกลางปีจะมีการจัดงานฮอร์ติ เอเชีย 2013 ในระหว่างวันที่ 9-11 พฤษภคม 2556 ซึ่งเป็นงานนิทรรศ การระดับโลกที่จัดเป็นประจำทุกปีในประเทศเนเธอร์แลนด์ นำมาจัดแสดงในประเทศไทย โดยมีบริษัทชั้นนำผู้เข้าร่วมออกบูธ แสดงสินค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพืชสวนที่ครบทั้งห่วงโซ่อาหารทั้งก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวกว่าจากกว่า 150 บริษัททั่วโลก อาทิเช่น เนเธอร์แลนด์ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีการเกษตรที่ก้าวหน้าเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยเฉพาะเทคโนโลยีการควบคุมสภาพแวดล้อม และอุณหภูมิ หรือประเทศจีน และไต้หวัน ที่เป็นผู้นำอันดับสองของโลก ในการส่งออกพันธุ์กล้วยไม้ รวมไปถึงพาวิลเลี่ยนระดับประเทศอย่าง เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีของตนมาร่วมจัดแสดง อันได้แก่ เทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์และการเพาะเนื้อเยื่อ นวัตกรรมการเพราะปลูก ระบบการชลประทานที่ประหยัดน้ำ ระบบโรงเรือนเพื่อควบคุมอุณหภูมิและสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บเกี่ยว เป็นต้น งานฮอร์ติเอเชียจึงเปรียบเสมือนเวทีการค้าสำหรับตลาดพืชสวน ผู้เข้าชมงานจะได้พบปะกับผู้ค้าและผู้ประกอบการได้โดยตรง ทำให้ได้รับความรู้ทั้งเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังต่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถช่วยยกระดับและผลักดันการผลิตพืชสวนของทั้งประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย ให้มีมาตรฐานการผลิตที่ดียิ่งขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีผู้เข้าชมงานกว่า 5,000 คน “ทั้งนี้เชื่อว่างานวิฟ เอเชีย และงานฮอร์ติเอเชียจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำ และเป็นศูนย์กลางด้านการเกษตร และปศุสัตว์ของภูมิภาคอาเซียน กอรปกับนโยบายและการเตรียมการของทางบริษัทฯ จะสามารถต่อยอดให้อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยสนับสนุนแผนการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางไมซ์อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน โดยคาดการณ์ว่าบริษัทฯ จะมีการเติบโตมากขึ้นจากเดิมกว่า 25% ในปีนี้” นายจีราด กล่าวปิดท้าย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ