กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
การค้าการลงทุนธุรกิจเอสเอ็มอีไทย-จีนไปได้ดี กสิกรไทยจัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ สร้างเครือข่ายธุรกิจและเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกัน ประเดิมธุรกิจค้ามันสำปะหลังซึ่งมีแนวโน้มการส่งออกไปยังจีนสูงขึ้น คาดสามารถกระตุ้นการส่งออกมันสำปะหลังไปยังจีนในปีนี้ได้ถึง 1 ล้านตัน มูลค่าราว 7,000 ล้านบาท
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวัตถุดิบทางเกษตรกรรมอยู่จำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการจีนต้องการเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อจะได้อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ ซึ่งจะง่ายต่อการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบก่อนส่งออกไปยังประเทศจีน อีกทั้งในปัจจุบันประเทศจีนมีกฎหมายสั่งห้ามนำธัญพืชหลัก 5 ประเภทได้แก่ ข้าวสาร ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ด และข้าวโพด มาใช้ผลิตในอุตสาหกรรม เนื่องจากจีนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร เพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงจีนสนับสนุนการใช้เอทานอลเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเอทานอล ดังนั้นปริมาณความต้องการมันสำปะหลังของจีนจึงเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศหลักในการส่งออกมันสำปะหลังไปยังประเทศจีน โดยที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังไปจีนสูงถึงร้อยละ 98 จากปริมาณการส่งออกมันสำปะหลังไปทั่วโลก เนื่องจากมันสำปะหลังของไทยมีคุณภาพสูงเป็นที่ต้องการของคนจีน
ปัจจุบันการซื้อขายมันสำปะหลังระหว่างผู้ประกอบการไทยและจีนจะผ่านพ่อค้าคนกลาง เนื่องจาก ผู้ประกอบการจีนยังไม่รู้จักผู้ส่งออกมันสำปะหลังของไทย ส่งผลให้ได้รับสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในขณะที่ทางผู้ประกอบการไทยเองก็มีความต้องการที่จะหาคู่ค้าที่รับซื้อมันสำปะหลังโดยตรงเพิ่มขึ้น ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมองเห็นโอกาสในการช่วยจับคู่ธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยและจีน จึงได้จัดกิจกรรม Business Matching ให้คู่ค้าได้มาเจรจาธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสที่จีนจะนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมถึง 1 ล้านตัน ซึ่งจะสร้างรายได้เข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 7,000 ล้านบาท
ด้านนายพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมการค้าระหว่างไทยกับจีนในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าการค้าสูงถึง 78,684.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.08 ล้านล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2554 ร้อยละ 12.5 โดยที่ผ่านมารัฐบาลจีนพยายามกระตุ้นให้มีการลงทุนทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ ประกอบกับการผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติจีนระหว่างปี 2554-2558 ซึ่งมุ่งไปที่การเปลี่ยนชนบทสู่ความเป็นเมือง ส่งผลให้ความต้องการการบริโภคสินค้ามีเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันสินค้าที่คนจีนมีความต้องการมากชนิดหนึ่ง คือ มันสำปะหลัง ซึ่งถือเป็นสินค้าที่จีนนำเข้ามาจากไทยสูงเป็นอันดับ 6 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกในปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 1,496.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากปี 2554 ร้อยละ 10.10 ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในจีนได้ถึงร้อยละ 68.9 ของมูลค่าการนำเข้ามันสำปะหลังทั้งหมดของจีน และคาดว่าในปี 2556 จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 14-18
การที่ธนาคารกสิกรไทยจัดกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจระหว่างนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจจีน ด้วยการนำคู่ค้ามาพบกันเพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการไทยมีความมั่นใจและเข้าใจการทำธุรกิจในประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการจีนออกมาลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์อันดีทางการค้าและก่อให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจระหว่างไทย-จีนในอนาคต รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสให้ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดเข้าสู่ AEC ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย
การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ที่ธนาคารกสิกรไทยจัดให้กับคู่ค้าเอสเอ็มอีไทยและจีน จะมีการจัดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่สินค้าการเกษตร เช่น ยางพาราและลำไยอบแห้งเป็นหลัก เพราะเป็นสินค้าที่ตลาดจีนยังมีความต้องการสูงและผู้ประกอบการไทยหลายรายมีศักยภาพมากพอที่จะทำธุรกิจค้าขายในตลาดจีนได้ ในขณะที่ผู้ประกอบการจีนก็มีแนวโน้มที่จะเข้ามาลงทุนค้าขายกับไทยจำนวนมาก ซึ่งหากธนาคารสามารถช่วยสร้างเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแกร่งและแน่นแฟ้นได้จะเป็นการช่วยให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างมั่นคงแน่นอน