ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. เคที ซีมิโก้” ที่ “BBB+/Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 11, 2013 13:29 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ตลอดจนการมีบริษัทในเครือที่เปิดดำเนินกิจการในประเทศลาวและเวียดนาม และการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้น 50% ในบริษัท การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงไทยซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศรวมถึงความสัมพันธ์ที่ธนาคารมีกับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากฐานทุนที่ค่อนข้างตึงตัวและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดและยอดสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์จำนวนค่อนข้างสูงก็มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงไทยต่อไป และจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ภายใต้สภาพการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งจะคงไว้ซึ่งระบบจัดการความเสี่ยงที่เพียงพอในการควบคุมความเสี่ยงในการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ในการลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัท รวมไปถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะไม่ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วเกินไปจนกระทบต่อสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทมากนัก ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ในปี 2555 ยังคงมีขนาดใหญ่โดยอยู่ที่ 4.1% (อันดับ 10 จากนายหน้า 32 ราย) แม้จะลดลงบ้างเล็กน้อยจากปีก่อน ๆ แต่อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าโดยเฉลี่ยของบริษัทยังคงสูงกว่าคู่แข่ง โดยอยู่ที่ 0.19% ในปี 2555 บริษัทได้ใช้ประโยชน์จากสาขาของธนาคารกรุงไทยในการขยายฐานลูกค้ารายย่อย โดยราว 40% ของบัญชีเปิดใหม่ในปี 2554 และ 2555 เป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำโดยธนาคารกรุงไทย เทียบกับในปี 2553 ซึ่งมีสัดส่วนดังกล่าวไม่ถึง 10% บริษัทได้ใช้ความพยายามในการทำให้พนักงานของธนาคารมีความคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการแนะนำลูกค้าของธนาคารให้มาใช้บริการของบริษัท นอกจากความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจแล้ว ธนาคารกรุงไทยยังให้การสนับสนุนแก่บริษัทในด้านการเงินด้วย โดยราว 80% ของวงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่บริษัทมีเป็นวงเงินที่ได้รับจากธนาคารกรุงไทย การสนับสนุนจากธนาคารในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่ใช่บริษัทในเครือของธนาคารพาณิชย์ บริษัทจัดได้ว่าเป็นผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์ไทยรายแรก ๆ ที่ขยายธุรกิจไปในภูมิภาคอินโดจีน โดยบริษัทถือหุ้น 30% ใน BCEL-KT Securities Co., Ltd. (BCEL-KT) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 1 ใน 2 แห่งของประเทศลาว นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายอยู่ในประเทศเวียดนามด้วยโดยผ่านการลงทุนใน Thanh Cong Securities Joint Stock Company ของบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอีกรายหนึ่ง (ในสัดส่วน 49.54%) การริเริ่มขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศก่อนคู่แข่งรายอื่นในประเทศน่าจะสร้างความได้เปรียบให้แก่บริษัทในการให้บริการวาณิชธนกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมข้ามชาติ ในปี 2555 ที่ผ่านมา รายได้จากการให้บริการวาณิชธนกิจคิดเป็นสัดส่วน 12% ของรายได้รวมของบริษัท โดยกว่าครึ่งเป็นธุรกรรมนอกประเทศ ทริสเรทติ้งคาดหวังที่จะเห็นธุรกิจวาณิชธนกิจสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของบริษัทต่อไปในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าภายหลังการรับโอนธุรกิจหลักทรัพย์จาก บล. ซีมิโก้ในปี 2552 จะทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่มีกำไร แต่สัดส่วนกำไรต่อรายได้ของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 77% ของรายได้สุทธิในปี 2555 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับประมาณ 60% การมีสัดส่วนกำไรต่อรายได้ที่ต่ำนี้อาจทำให้บริษัทตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบในการแข่งขันและอาจส่งผลกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรในอนาคตได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นภายหลังการเปิดเสรีในปี 2555 สิ่งท้าทายสำหรับผู้บริหารของบริษัทคือความพยายามในการลดค่าใช้จ่ายและการเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัทเพื่อรับมือกับภาวะที่ตลาดอาจผันผวนในอนาคต การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัททำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ลดสัดส่วนการลงทุนแบบเก็งกำไรลงแล้วเน้นการลงทุนแบบ Arbitrage กับการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ทั้งนี้ สัดส่วนปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทเมื่อเทียบกับยอดซื้อขายรวมของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งอุตสาหกรรมลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 15% ในปี 2552 เหลือ 3% ในปี 2555 ยอดลูกหนี้ สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท ณ สิ้นปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 3.0 พันล้านบาทจากสิ้นปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อนี้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีสัดส่วนการให้สินเชื่อเทียบกับยอดลูกหนี้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์รวมทั้งอุตสาหกรรมค่อนข้างนิ่งอยู่ที่ระดับ 7% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทมีฐานเงินทุนที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว การขยายตัวของสินเชื่อนี้จึงทำให้บริษัทจัดว่ามีการใช้หนี้สินเทียบกับทุนที่สูงมากที่สุดบริษัทหนึ่งในอุตสาหกรรม ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะใช้ความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อหรือในการตัดสินใจใดใดที่จะส่งผลในการก่อหนี้เพิ่มขึ้น ณ สิ้นปี 2555 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ประมาณ 2.1 พันล้านบาท อัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 24% เทียบกับ 41% ณ สิ้นปี 2554 แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงสูงกว่าเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนดไว้ แต่ความพยายามในการใช้ทุนอย่างเต็มที่ของบริษัทได้ทำให้บริษัทจัดว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วนดังกล่าวต่ำมากที่สุดแห่งหนึ่ง บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด (KTZ) อันดับเครดิตองค์กร: BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ