กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--WWF ประเทศไทย
WWF และTRAFFIC เรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการจริงจังในการแก้ปัญหาการลักลอบฆ่าช้าง เพื่อการค้า หลังเกิดโศกนาฏกรรมสังหารช้างซ้ำรอยอีกครั้งในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่ากับเป็นการเย้ยหยันรัฐบาลไทยและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง สะท้อนภัยคุกคามช้างไทยที่ทวีความรุนแรงและเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงการขาดความใส่ใจแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เรารู้สึกผิดหวังที่ภาครัฐไม่ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการภัยคุกคามช้างป่าไทย ทั้งการล่าลูกช้างและการฆ่าช้างเอางา ซึ่งต้องการความจริงจังในการใช้บังคับกฎหมายและผลักดันกระบวนการแก้ไขกฎหมายอย่างเร่งด่วน ทำให้เหล่าอาชญากรย่ามใจคร่าชีวิตสัตว์ประจำชาติเราอย่างไม่หยุดยั้ง ” จันทน์ปาย องค์ศิริวิทยา ผู้จัดการงานรณรงค์ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า WWF ประเทศไทย
หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทั้งงบประมาณและการพัฒนาศักยภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลาดตระเวนป้องกันการลักลอบฆ่าช้างและค้างาช้าง ซึ่งควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เพื่อลดความต้องผลิตภัณฑ์จากช้างรวมถึงงาช้าง, การจัดทำฐานข้อมูลเทคนิคการพิสูจน์ดีเอ็นเอเพื่อตรวจหาแหล่งที่มาของงาช้างที่ถูกยึดให้ดียิ่งขึ้น, การแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกระหว่างหน่วยงานเพื่อเสริมความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายและคุ้มครองสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์
WWF และTRAFFIC เร่งรัดให้นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบประกาศแผนการดำเนินและเงื่อนเวลาแก้ไขกฎหมายเพื่อนำไปสู่การยุติการค้างาช้างในประเทศไทยตามที่ท่านนายกฯได้ให้คำมั่นในวันเปิดการประชุมไซเตส
“การแก้กฎหมายเพื่อยุติการค้างาช้างของไทยควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้เพื่อลดความต้องการผลิตภัณฑ์งาช้างและเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายเร่งจับกุมกลุ่มอาชญกรเป็นมาตรการสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองช้างทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกซึ่งภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการอย่างด่วนที่สุด การละเลยของภาครัฐในแต่ละวันเดิมพันด้วยชีวิตช้างที่เสียงถูกคร่าเพิ่มขึ้น”
การฆ่าช้างอย่างอุกอาจด้วยการเปิดหน้าผากและตัดกระโหลกหัวช้างออกนับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ที่เกิดขึ้นในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นฝีมือของพวกลักลอบล่าสัตว์ที่อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย และความไม่พร้อมของเจ้าหน้าที่ในการออกลาดตระเวนประกอบกับงบประมาณการ สนับสนุนของภาครัฐ
ประเทศไทย นับเป็นตลาดค้างาช้างที่ไร้การควบคุมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน ทางการได้ให้การรับรองผู้ค้างาช้างทั้งสิ้น 67 ราย อย่างไรก็ตาม จากการสำราจตลาดพบว่า มีร้านขายงาช้างมากกว่า 250 ร้าน และลูกค้าส่วนมากก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
เอื้อพันธ์ ชำนาญเอื้อ ผู้จัดการฝ่ายการสื่อสาร WWF ประเทศไทย อีเมล uchamnanua@wwfgreatermekong.org