กรุงเทพฯ--17 เม.ย.--ก.ล.ต.
ตามที่ปรากฏข่าวว่า บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) (“GLAND”) จะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นเพื่อซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ บริษัท บีบีทีวี มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (“BBTVM”) จากผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อให้ได้ที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ BBTVM จำนวน 6 แปลง หลังจากนั้น GLAND จะให้ BBTVM เข้าซื้อที่ดิน 1 แปลงจากบริษัท ซีเคเอส โฮลดิ้ง จำกัด (“CKS”) โดยที่ดินทั้ง 7 แปลง อยู่ใกล้โครงการแกรนด์พระราม 9ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งของ GLAND ทั้งนี้ คณะกรรมการ GLAND ให้เหตุผลว่ารายการดังกล่าวเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อบริษัท และราคาในการเข้าทำรายการก็เป็นราคาที่เหมาะสม
โดยที่การทำรายการดังกล่าวขนาดของรายการมีนัยสำคัญ และเป็นการซื้อหุ้นและที่ดินจากบริษัทในกลุ่มรัตนรักษ์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน GLAND จึงเข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันและรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่ต้องขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ดังนั้น GLAND จึงจะนำเสนอการทำรายการดังกล่าวในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 ในวันที่ 25 เมษายน 2556
อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (“IFA”) เห็นว่า ผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์และรายการที่เกี่ยวโยงกันในครั้งนี้ เนื่องจากราคาในการเข้าทำรายการไม่เหมาะสม กล่าวคือ ราคาซื้อขายที่ดินโดยเฉลี่ยของที่ดินทั้ง 7 แปลงมีมูลค่ารวม 1,336.81 ล้านบาท ในขณะที่ผู้ประเมินราคาอิสระ 2 รายบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัดให้ราคาประเมินที่มูลค่า 1,172.75 และ 1,100.72 ล้านบาท ตามลำดับ ราคาซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงสูงกว่าราคาประเมินของผู้ประเมินราคาอิสระถึง 164 — 236 ล้านบาท นอกจากนี้ จากข้อมูลในสารสนเทศการเข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์และรายการที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่ง GLAND แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรากฏว่า คณะกรรมการตรวจสอบของ GLAND ก็เห็นว่า ราคาในการเข้าทำรายการไม่เหมาะสมตามความเห็นของ IFA และขอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความเห็นของ IFA เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติการทำรายการดังกล่าว
ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นโปรดศึกษาข้อมูลโดยละเอียดและใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการรักษาประโยชน์ของตนเองพร้อมกับขอให้ซักถามผู้บริหารบริษัทถึงข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย
อนึ่ง รายการดังกล่าวข้างต้นต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย