กรุงเทพฯ--19 เม.ย.--นานมี
คงมีโอกาสไม่มากนักที่เด็กๆจะได้เรียนรู้การทำงานศิลปะจากปูชนียบุคคลผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการศิลปะของไทย จึงถือเป็นโอกาสดีที่ บริษัท นานมี จำกัด ได้จัดกิจกรรมในเวิร์คชอป “นวัตกรรมการลากและระบาย” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ อารี สุทธิพันธุ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ได้มาเป็นวิทยากรพิเศษถ่ายทอดมุมมองศิลปะในรูปแบบใหม่ ให้แก่เยาวชนไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งนอกจากจะมีเด็กๆมาร่วมกิจกรรมจำนวนมากแล้ว ยังได้รับความสนใจจากพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าเรียนกันอย่างล้นหลาม บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น ณ นานมี อาร์ตแกลเลอรี่ ถ.สาทร
นางปรีญาณี สุพุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท นานมี จำกัด บอกว่าช่วงเดือนเมษายน — พฤษภาคม เป็นช่วงที่เด็กๆปิดเทอมและมีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน สมาชิกในบ้านได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน จึงเป็นโอกาสที่ดีที่คนในบ้านจะหากิจกรรมสนุกๆไม่ยาก ใช้เวลาไม่นาน ศิลปะเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะเชื่อมโยงหัวใจของทุกคนในบ้านเข้าไว้ด้วยกัน นานมีจึงได้จัดกิจกรรมให้สมาชิกในบ้านได้ลองทำงานศิลปะร่วมกัน ซึ่งเป็นศิลปะในมุมมองแบบใหม่ในสไตล์ของอาจารย์อารี ผ่านการลากเส้นและระบายโดยไม่ใช้พู่กันอย่างเป็นอิสระ ไม่มีแบบแผนไม่มีกรอบกติกา ผู้เรียนทุกเพศทุกวัยเกิดความสุข มีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันที่จะสร้างความทรงจำที่ดีของคนในครอบครัว
ศาสตราจารย์พิเศษ อารี สุทธิพันธุ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการเรียนศิลปะที่เน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆแก่ผู้เรียน การทำงานศิลปะให้ได้ดีนั้น ต้องไม่รู้ว่าศิลปะคืออะไร เพราะถ้ารู้ว่าศิลปะคืออะไร เป็นอะไร เป็นการกำหนดกรอบความคิด ยึดติดกับแนวคิดเดิมของตนเอง เพราะแท้จริงแล้วศิลปะจึงเป็นเรื่องสนุก อิสระ และพบเห็นได้ในสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน สังเกตว่าวันนี้เด็กๆมีความสุขและสนุกกันมาก ผู้สอนจัดประสบการณ์ขึ้นมาให้เด็กๆได้เรียนรู้ ปลดปล่อยจินตนาการ สร้างสรรค์ความคิดและมุมมองใหม่ๆที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสจากการเรียนศิลปะมาก่อน โดยวันนี้เป็นการลองทำศิลปะในรูปแบบของการรับรู้ทางสายตา (Visual Perception) แล้วนำมาพัฒนาสู่นวัตกรรมศิลปะใหม่ๆผ่านความรู้สึก(Visual sensation) ได้เป็น รูป-พื้น , ใกล้-ไกล , ผลัก-ดึง , ทับ-ซ้อน , สลับทิศทาง เป็นต้น พูดง่ายๆคือเมื่อเด็กๆมองเห็น ก็จะเกิดเป็นความคิดและภาพในใจร่วมด้วย เมื่อเด็กๆลากหรือระบายตามสิ่งที่รับรู้ที่มองเห็นนั้น จึงเกิดการคิด ปรับ สร้างสรรค์ สอดคล้องกับนิยามที่ว่า “ศิลปะที่เห็น คือประสบการณ์”นั่นเอง ซึ่งผลงานศิลปะที่ออกมานั้นจึงไม่มีผิดถูก ไม่มีว่าภาพต้องเหมือนกับภาพต้นแบบหรือสิ่งที่เป็นต้นแบบในการมองเห็น ไม่มีการคาดหวังผลที่จะได้รับ จึงปล่อยใจไปกับการทำงานศิลปะอย่างเต็มที่
ครอบครัวเลิศสุดวิชัย ประกอบด้วย คุณพ่อวีรยุทธ เลิศสุดวิชัย , ด.ช.พงศ์ไพโจน์ เลิศสุดวิชัย หรือน้องต้องสู้ อายุ 11 ปี และ ด.ช.สุดเลิศ เลิศสุดวิชัย หรือ น้องต้องหนึ่ง อายุ 7 ขวบ ซึ่งน้องต้องสู้เป็นตัวแทนครอบครัวเล่าว่า “ปกติผมเรียนศิลปะมาตลอดเพราะชอบที่จะวาดและระบายจนได้รางวัลมาหลายรางวัลแล้ว แต่วันนี้แปลกมาก อาจารย์สอนให้ลองทำงานศิลปะแบบใหม่ ที่ไม่ได้เน้นวาดภาพให้เหมือน ไม่ได้มองเห็นสิ่งรอบด้านในลักษณะของแสงและเงาตามที่เคยเรียนกันมา แต่ให้มองในรูปแบบของรูปร่างและพื้น ให้ลองทำอะไรใหม่ๆเช่นใช้ขวดบรรจุสีระบายเป็นรูปร่างแทนการใช้ดินสอ เราต้องบีบขวดไปตามความคิดและรูปในใจ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเหมือนของจริงหรือไม่ เป็นการลากเส้นแบบลื่นไหลเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องเกร็งมือเหมือนเวลาเราใช้ดินสอหรือปากกาครับ ผมและน้องชายและคุณพ่อสนุกมากช่วยกันลองผิดลองถูก ได้เป็นผลงานที่พวกเราภูมิใจครับ”
ด้านน้องใจใส หรือ ด.ญ.พิมพ์พิศา เพชรสิงโต อายุ 6 ขวบ ซึ่งมากับคุณพ่อ นภาเศรษฐ เพชรสิงโต เล่าว่า “หนูสนุกมากค่ะ ตอนแรกก็รู้สึกว่ายาก แต่ก็ทำได้เพราะคุณพ่อกับพี่ๆคอยช่วย หนูชอบสีสันสดใส วันนี้วันหยุดคุณพ่อมาระบายสีกับหนู สนุกและมีความสุขมาก เพราะปกติคุณพ่อยุ่งมากเพราะต้องไปทำงาน ไม่ค่อยมีเวลาค่ะ แต่หลังจากนี้หนูจะชวนคุณพ่อลองทำแบบนี้เองที่บ้านบ้าง สำหรับผลงานหนูจะเอาไปติดไว้ข้างเตียงนอนค่ะ” ส่วนคุณพ่อนภาเศรษฐบอกว่า “การทำกิจกรรมครั้งนี้ฝึกให้น้องใจใสได้เจอคนแปลกหน้าหลากหลายวัย รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง พูดจาอย่างไร เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ฝึกฝนความอดทน การรู้จักรอคอยในการต่อคิว การฝึกด้านกายภาพเกี่ยวกับกล้ามเนื้อมือ ที่สำคัญเป็นการเปิดโลกกว้างด้านศิลปะให้ลูกได้มาเรียนรู้ครับ”
ปิดท้ายที่ครอบครัวของน้องแพรว ด.ญ.นิชานันท์ ชูวิทย์ อายุ 12 ปี ที่มาพร้อมคุณพ่อไพบูลย์ และคุณแม่เพ็ญรุ่ง ชูวิทย์ น้องแพรวบอกว่า “ช่วงนี้ปิดเทอมมีเวลาว่างเยอะก็รู้สึกเบื่อ ลองมาเรียนศิลปะพร้อมพ่อกับแม่รู้สึกว่าเรียนหลายๆคนแล้วสนุกดีค่ะ ได้ทำอะไรที่หนูไม่เคยทำ ไม่ใช่แค่วาดภาพแล้วเอาพู่กันจุ่มสีระบายแต่วันนี้ได้ลองเทคนิคศิลปะแบบใหม่ๆ รู้สึกลุ้นมากเลยว่าเราจะทำออกมาเป็นยังไง อย่างตอนปาดสีเป็นเหมือนการระบาย แต่สีจะออกมาเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของมือเรา ต้องมีสมาธิด้วย ยิ่งพ่อกับแม่มาร่วมเรียนด้วย ในระหว่างที่ทำ ได้พูดคุย ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับท่าน รู้สึกมีความสุขค่ะ”
ในช่วงวันหยุดนี้ น้องๆอย่าลืมชวนคุณพ่อคุณแม่มาลองทำกิจกรรมสนุกๆ ซึ่งใช้เวลาไม่มาก ราคาไม่แพง เพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นและอบอุ่น