กรุงเทพฯ--22 เม.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.เอเชียกรีน เอนเนอจี เตรียมกลับมาผงาดอีกครั้ง หลังเร่งบุกตลาดต่างประเทศ แบบต่อเนื่อง ล่าสุด คว้าออเดอร์ส่งมอบถ่านหินไปอินเดีย 50,000 ตัน ภายในพ.ค.นี้ พร้อมเตรียมลุ้น ยอดออเดอร์ใหม่ในไตรมาส 2 อีก2-3 ราย ด้าน “ พนม ควรสถาพร ” กรรมการผู้จัดการ AGE ระบุ ยอดขายในต่างประเทศครึ่งปีแรก ไม่ต่ำกว่า700,000 ตัน ส่งผลรายได้ในปีนี้ แตะระดับ 6,000 — 6,500 ล้านบาท
นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด(มหาชน) หรือ AGE ผู้นำเข้าและจำหน่าย ถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อ(ออเดอร์)จากผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าในประเทศอินเดีย เข้ามาแล้วกว่า 50,000 ตัน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจา อีก 2-3 ราย โดยคาดว่าจะสรุปดีลออเดอร์ดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 2/2556 พร้อมทั้งมองว่า แนวโน้มราคาถ่านหินโลก ในปีนี้ เริ่มมีการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเห็นได้จากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีราคาถ่านหิน (ICI Index) ในช่วงที่ผ่านมา
“ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการส่งทีมงาน ฝ่ายต่างประเทศ ไปสำรวจตลาดในประเทศอินเดีย เนื่องจากมองว่า แนวโน้มความต้องการใช้ถ่านหินในประเทศดังกล่าว มีความต้องการสูงรองลงมาจากประเทศจีน ดังนั้นจึงมองว่าอินเดีย ยังคงเป็นตลาด ที่มีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต โดยจะเห็นได้จากการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้า ที่คาดว่าจะมีการก่อสร้างกว่า 200 โรง หรือประมาณ 78,000 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2560 ดังนั้น จึงมองว่าความต้องการใช้ถ่านหินในอินเดีย จะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านตันต่อปี ขณะที่ปี 2555 อินเดีย มีอัตราการนำเข้าถ่านหินอยู่ที่ 98 ล้านตัน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว จึงมองว่าอินเดีย น่าจะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ได้ในอนาคต ” นายพนม กล่าว
ทั้งนี้ จากยอดขายของประเทศอินเดียที่เพิ่มเข้ามา ทำให้บริษัทฯ ตั้งประมาณการยอดขายต่างประเทศ ในครึ่งปีแรกไว้ที่ 700,000 ตัน โดยแบ่งเป็นยอดขายจากประเทศจีน 600,000 ตัน และ อินเดีย 100,000 ตัน และหากยอดขายในต่างประเทศ เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ ก็จะส่งผลให้บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศในปีนี้ ประมาณ 40% ของยอดขายรวมทั้งหมด และยอดขายในประเทศ 60% ทำให้ประมาณการยอดขายถ่านหินรวมภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2,200,000 ตัน ส่งผลให้มีรายได้รวมแตะระดับ 6,000 — 6,500 ล้านบาท ตามประมาณการที่บริษัทฯคาดการณ์ไว้
ส่วนแผนการตลาดในประเทศ นั้น นายพนม กล่าวว่า บริษัทฯยังคงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมให้ได้มากที่สุด เนื่องจากมองว่ายอดขายในประเทศ อยู่ในระดับทรงตัว ดังนั้นจึงมองว่าการขยายตลาดในประเทศคงต้องใช้ระยะเวลา เพื่อต่อยอดในอนาคต แต่ทั้งนี้ บริษัทฯ มีโครงการท่าเรือและคลังสินค้า สาขานครหลวง จ.อยุธยา ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถลดต้นทุนได้เฉลี่ยปีละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้อัตราการทำกำไรต่อปี เพิ่มสูงขึ้น 1-2% ต่อปี โดยการลดต้นทุนดังกล่าว จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในปี 2556 นี้