กรุงเทพฯ--22 เม.ย.--วีม คอมมูนิเคชั่น
คลาสสิก โกลด์ฯ ชี้ใช้เวลา 2 ปี ราคาทองคำถึงจะพุ่งขึ้นเท่าเดิม โดยปีนี้คาดการณ์ว่าราคาทองคำสูงสุด 22,500 บาท ต่ำสุด 15,700 บาท แนะนำนักลงทุนระยะสั้น หากราคาหลุดแนวรับ 1,300 ควรขายออกเพื่อปิดความเสี่ยง และรอซื้อกลับเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ 1,200—1,250 อีกครั้ง ส่วนระยะยาวขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีในการซื้อโอกาสร่วงยังมีมาก แนะนำนักลงทุนคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดผ่าน Social Media อย่าง Facebook และ iPhone/iPad/Android Application
นางสาวณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เผยว่า “ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา (12-16 เม.ย.) ราคาทองคำมีการปรับลดลงอย่างรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ เพราะเหตุที่มีข่าวว่าไซปรัสจะขายทองคำที่เป็นทุนสำรองในประเทศออกเพื่อชำระหนี้ ประกอบกับธนาคารกลางอื่น ๆ ในยุโรปมีแนวโน้มที่จะขายทองคำออกมาเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการปรับลดการคาดการณ์ราคาทองคำของหลายสถาบันทางการเงิน และการขายอย่างต่อเนื่องของกองทุน SPDR ทำให้ตลาดสูญเสียความเชื่อมั่น ดังนั้น เมื่อราคาทองคำหลุดแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,525 ทำให้เกิด Panic sell ส่งผลให้ราคาทองคำปรับลดลงอย่างรุนแรง โดยปิดตลาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,400.91 เหรียญ หรือ ราคาสมาคมค้าทองคำที่บาทละ 19,250 บาท ซึ่งแนวโน้มระยะกลางยังเป็นขาลง โดยขณะนี้เริ่มชะลอตัวเหนือแนวรับ 1,300 ทั้งนี้ หากราคาทองคำสามารถ rebound กลับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,440 แล้วไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงหลุด 1,300 ในระยะถัดไป โดยการหลุดระดับ 1,300 จะลงได้อีก 50—100 เหรียญ ขณะที่ ความรู้สึกโดยรวมของนักลงทุนต่อตลาดทองคำยังไม่ดีนัก และแม้ว่าจะเข้าเทศกาล Akshaya Tritiya ของอินเดีย ซึ่งเป็นเทศกาลซื้อทองในเดือนหน้า ก็ไม่ได้มีแรงซื้อกลับเข้ามาเท่าที่ควร ดังนั้น เป้าหมายการลง ยังอยู่ที่ระดับ 1,158—1,250 และการแข็งค่าของค่าเงินบาท มีแนวโน้มให้ราคาทองบ้านเราปรับลดลงกว่าที่ควรจะเป็น ราคา ณ 18,000 ปลายๆ เป็นราคาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยกรอบราคาครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 56) คาดว่าจะอยู่บริเวณ 1,158—1,550 หรือ 15,700-21,100 บาท ส่วนตลอดทั้งปีนี้ คาดว่าราคาทองคำจะขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 1,650 หรือ 22,500 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1,158 หรือ 15,700 บาท
สำหรับนักลงทุนหากเป็นนักลงทุนระยะยาว ขณะนี้ ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีในการซื้อ เนื่องจาก ราคายังมีโอกาสร่วงลงมาได้อีก ดังนั้น ถ้าจะเข้าซื้อ ควรเป็นการซื้อขายระยะสั้น และหากราคาหลุดแนวรับ 1,300 ควรขายออกมาเพื่อปิดความเสี่ยง และรอซื้อกลับเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ 1,200—1,250 อีกครั้ง ขณะที่ นักลงทุนที่ถือทองไว้ในระดับสูง หากเป็นเงินเย็น สามารถถือได้ต่อ เนื่องจากในระยะยาว เมื่อราคาทองคำปรับฐานเรียบร้อย ราคาทองคำก็จะกลับมาขึ้นได้อีกรอบ แต่หากต้องการขาย ก็สามารถรอขายเมื่อราคาเข้าทดสอบแนวต้าน 1,440 อีกครั้ง ซึ่งหากราคาไม่ผ่าน อาจกดดันให้ปรับลดลงมาแรงอีกรอบ เมื่อถึงเวลานั้น ค่อยกลับเข้ามาซื้อในราคาที่ต่ำกว่าเดิม เพื่อเป็นการปรับพอร์ตการลงทุน
โดยราคาทองคำจะสามารถกลับขึ้นไปที่ 1,700 และ 1,900 อาจใช้เวลา 1—2 ปี ขึ้นอยู่กับว่าราคาจะปรับฐานขาลงเร็วแค่ไหน หากราคาร่วงลงมาแตะแนวรับระยะยาวระดับ 1,158—1,200 อาจพบแรงซื้อกลับ และราคาอาจจะดีดกลับขึ้นได้แรง และเร็ว อย่างไรก็ตาม อาจจะยังคงติดแนวต้านระดับ 1,600—1,650 ก่อน และน่าจะใช้เวลาพอสมควรในการจะขึ้นทะลุ 1,700 /1,800 /1,900 อีก ตามลำดับ โดยปัจจัยที่จะทำให้ราคาทองคำปรับขึ้น คือ ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ถ้าหากมีความขัดแย้งรุนแรงจนเกิดเป็นสงคราม และบานปลายเป็นวงกว้างจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของทั้งจีนและญี่ปุ่น แต่โอกาสที่จะเกิดในลักษณะดังกล่าวก็มีไม่มากนัก ทั้งนี้ ในระยะสั้นจากการที่ราคาทองลดลงต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี เป็นเหตุจูงใจให้มีแรงซื้อจำนวนมาก แรงขายที่ชะลอตัวจะทำให้เกิดสัญญาณการซื้อและการดีดกลับทางเทคนิค เนื่องจากนักลงทุนระยะสั้นจะเข้าซื้อเพิ่มเก็งกำไร ส่วนนักลงทุนที่ขายออกมาก่อนหน้านี้ก็จะซื้อคืน หรือ cover short position เพียงแต่ราคามีแนวโน้มจะผันผวนตามลักษณะการเก็งกำไร การปรับตัวขึ้นของราคาจึงถูกจำกัดไว้ ทำให้โอกาสการขึ้นไปแตะระดับ 1,700 จึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในระยะกลางถึงยาว ความต้องการถือครองทองคำในแต่ละปีมีมากกว่าปริมาณทองคำใหม่ที่เหมืองผลิตได้ และระดับราคาที่ต่ำกว่าที่ผ่านมา จะลดแรงจูงใจให้มีการนำทองเก่ามาขายหรือรีไซเคิลน้อยลง ในขณะที่กำลังการผลิตทองคำแทบไม่มีเหมืองเปิดใหม่เลย แต่ทองคำยังคงเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในอุตสาหกรรมบางประเภท และด้วยเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น จึงเป็นแรงผลักดันให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ในอนาคต
“ด้วยสถานการณ์ราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน ค่อนข้างมีความผันผวนมาก เพราะฉะนั้น นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องติดตามข้อมูลข่าวสาร รวมไปถึงบทวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน ทั้งนี้ อาจจะอาศัย Social Media หรือ Application บน iPhone, iPad และ Android ซึ่งมักจะมีการอัพเดทข่าวสารที่เป็นประโยชน์และทันต่อสถานการณ์การลงทุนอยู่เสมอ สำหรับ คลาสสิก โกลด์ เอง เราก็มีการอัพเดทข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่าง Real Time รวมไปถึงบทวิเคราะห์ทั้ง PDF และ VDO ที่มีการจัดทำขึ้นทุกวัน วันละ 2 เวลา ทั้งเช้า-เย็น ให้นักลงทุนได้ทราบในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทาง Facebook, Twitter, Google Plus หรือ Application บน iPhone, iPad และ Android ซึ่งสำหรับ iPhone Application ของคลาสสิก โกลด์นั้น ยังสามารถตรวจสอบราคาทองคำได้อย่าง Real Time เพื่อให้นักลงทุนไม่พลาดทุกโอกาสในการลงทุนด้วย ฉะนั้น นักลงทุนต้องอย่าลืมที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆอย่างใกล้ชิด ในช่วงที่สถานการณ์ราคาทองคำมีความผันผวนมากขึ้น” นางสาวณัฐฑี กล่าว
ราคาต่ำสุดและสูงสุดในแต่ละปีล่าสุดย้อนหลัง 5 ปี (ทั้งราคาต่างประเทศและราคาไทยบาท)
Bullion (฿) Spot ($)
High Low High Low
2008 15,450 12,100 1,030.80 680.80
2009 19,150 13,450 1,226.10 801.65
2010 20,150 16,750 1,430.95 1,043.75
2011 27,100 19,400 1,920.30 1,308.00
2012 25,950 22,900 1,795.69 1,527.00
2013 24,350 18,850 1,695.76 1,321.35