คปก.ดันปฏิรูปตัวบทกม.-บุคลากรในกระบวนการยุติธรรม สร้างความเชื่อมั่น ปชช.เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

ข่าวทั่วไป Wednesday April 24, 2013 10:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 เม.ย.--สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรมในคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.)จัดเวทีสาธารณะ เรื่อง การปฏิรูปการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมโดยการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย”ว่า ตามกฎหมายแล้วกระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบันสามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้ดีตามสมควร แต่ในทางปฏิบัติมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่บ่อยครั้งทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ดังนั้นในการปฏิรูปกฎหมายต้องทำพร้อมกัน 3 อย่าง คือ1.ปฏิรูปตัวบทกฎหมาย 2.ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย และ3.ปฏิรูปความคิดของบุคคลากรในกระบวนการยุติธรรม โดยตนเห็นว่าบุคคลากรในกระบวนการยุติธรรมทุกฝ่ายควรมีการทบทวนทางปฏิบัติที่ยังเป็นปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว และขอให้ช่วยกันสร้างความเชื่อถือศรัทธาต่อประชาชน ศ.ดร.คณิต กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมดั้งเดิมเป็นกระบวนการยุติธรรมในระบบไต่สวน โดยระบบไต่สวนไม่แยกอำนาจหน้าที่ ในการสอบสวนฟ้องร้อง และ อำนาจหน้าที่ ในการพิจารณาพิพากษาออกจากกัน ให้องค์กรที่ต่างหากจากกันเป็นผู้ทำหน้าที่ทั้งสอง การตรวจสอบความจริงในระบบไต่สวนจึงมีชั้นเดียว คือ การตรวจสอบโดยศาล ทั้งนี้จะเห็นว่าในระบบไต่สวนผู้ถูกกล่าวหา เป็นกรรมในคดีจึงขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน พอมาถึงกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่เป็นกระบวนการยุติธรรมใน ระบบกล่าวหา ซึ่งมีการแยกอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบความจริง ซึ่งการตรวจสอบความจริงในกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่มี 2 ชั้น คือการตรวจสอบความจริงชั้นเจ้าพนักงาน และการตรวจสอบความจริงชั้นศาล ตนเห็นว่า การตรวจสอบความจริงทั้งสองชั้นต้องกระทำอย่างมีความเป็นภาวะวิสัย โดยในระบบกล่าวหาซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่นั้น ผู้ถูกกล่าวหาต้องเป็น “ประธานในคดี” จึงมีสิทธิต่างๆ ในคดีสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน “วิธีพิจารณาความอาญาที่ดี ต้องมีความเป็นเสรีนิยมมีความเป็นประชาธิปไตยและกระทำเพื่อสังคม โดยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นกฎหมายควรมีคุณลักษณะสำคัญสองประการ คือเป็นกฎหมายที่รักษาความสงบเรียบร้อย และเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิ นอกจากนี้ในแง่ผู้ถูกกล่าวหาเป็น “ประธานในคดี” การกระทำใด ๆ กับผู้ถูกกล่าวหาจึงต้องคำนึงถึงสภาพความเป็น “ประธานในคดี” ของเขาด้วย” ศ.ดร.คณิต กล่าวว่า ปัจจุบันการขอหมายจับยังไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายเท่าที่ควร โดยคำร้องขอให้ออกหมายจับต้องระบุรายละเอียดแห่งการกระทำ และมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลนั้นได้กระทำการดังกล่าว ขณะเดียวกันการตรวจสอบในการที่จะออกหมายจับของศาลในทางปฏิบัติก็ดูเหมือนจะยังขาดความเป็นเสรีนิยมอยู่มาก แสดงถึงความไม่เข้าใจต่อบทบาทความเป็นเสรีนิยมของตน เช่นเดียวกับการแจ้งข้อหาแม้กฎหมายจะได้แก้ไขไปบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่สมบูรณ์อยู่ดี “หากการตรวจสอบความจริงของเจ้าพนักงานมีความเป็นภาวะวิสัย และการฟ้องของพนักงานอัยการถูกกฎหมายแล้ว ก็ย่อมจะเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่ดี เพราะศาลจะพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องไม่ได้” ศ.ดร.คณิต กล่าว นายสมชาย หอมลออ กรรมการปฏิรูปกฎมายและประธานคณะกรรมาการเฉพาะเรื่องด้านกระบวนการยุติธรรม กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมที่ทั่วโลกใช้อยู่ที่ถูกกำหนดโดยมาตรฐานของ สหประชาชาติ (United Nation) เป็นกระบวนการที่ดีที่สุดในการสร้างความเป็นธรรม แม้ในบางสถานการณ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องอาจจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ถือว่าเป็นกระบวนการที่ยังดีที่สุด เพราะเคารพสิทธิมนุษยชน การที่ทุกฝ่ายจะได้รับความยุติธรรมนั้น ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และต้องคำนึงว่าประชาชนต้องสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือทางกฎหมายได้ กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 25540 และ ฉบับปี2550 ได้ตระหนักถึงความเท่าเทียมของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมและทั่วถึงโดยเฉพาะคดีอาญา หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 วงการกฎหมายมีความตื่นตัวอยู่ระยะหนึ่ง แต่ด้วยการขาดการบูรณาการจากแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร “ คปก.เห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ ประกอบกับบทเรียนการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในประเทศไทยยังมีความไม่เท่าเทียมอยู่มาก เช่น คดีสิ่งแวดล้อม คดีผู้บริโภค คดีภาคใต้ เป็นต้น และยังเห็นว่าการเข้าถึงการช่วยเหลือทางกฎหมายยังเป็นส่วนผลักดันในการปกป้องสิทธิมนุษยชนให้เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม ทำให้กฎหมายรัฐธรรมนูญมีผลในทางปฏิบัติ และมีผลอย่างมากกับการพัฒนากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย การประชุมครั้งนี้จึงเป็นการเข้ามาสำรวจ ตรวจสอบ และการสร้างเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อที่จะทำให้การช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายในประเทศไทยเป็นจริง” นายสมชาย กล่าว ถอดบทเรียนให้ความช่วยเหลือปชช.ยังไร้ทิศทาง เสนอบูรณาการทำงานร่วมกัน นายชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำ สำนักประธานศาลฎีกา กล่าวการอภิปราย “การช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย การดำเนินการ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไข”ว่า การให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนทางกฎหมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับศาลได้แก่ การจัดหาทนายความ ซึ่งมีปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือเรื่องค่าตอบแทนทนายความในการดำเนินคดี การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายต้องมีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีแพ่ง กำลังทุนทรัพย์ของคู่ความแต่ละฝ่ายทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน ซึ่งกระทบถึงระบบการค้นหาความจริงเพื่อนำเสนอต่อศาลได้ ดังนั้น จึงต้องบูรณาการทั้งในทางแพ่งและทางอาญาประกอบกัน “ข้อเสียของการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในปัจจุบัน คือเรื่องมาตรฐานการดำเนินการว่าสมบูรณ์หรือไม่ หากจัดให้มีหน่วยงานหรือเจ้าภาพเข้ามาจัดการเชิงระบบก็จะเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยที่สุดก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ ส่วนอัตราค่าตอบแทนของทนายความอาสาหรือทนายความขอแรงก็สมควรที่จะอยู่ในอัตราที่สูงกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ควรจะเพิ่มศักยภาพของทนายความใหม่ด้วย เรื่องนี้ต้องคิดกันใหม่ทั้งระบบและต้องกระทำทั้งสองมิติควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง”นายชาญณรงค์ กล่าว นายไพฑูรย์ สว่างกมล รองอธิบดีกรรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า หากมีพ.ร.บ.ช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายออกมาเชื่อว่า จะทำให้หน่วยงานที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องจะมีมาตรฐานและมีกลไกในการช่วยเหลือประชาชนเป็นมาตรฐานเดียวกัน กลไกการช่วยเหลือประชาชนจะชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นการบูรณาการทำงานร่วมกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนจึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการโครงการเข้าถึงความยุติธรรม มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เราคงต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน และมีมาตรการป้องกันข้อพิพาทที่จะเกิดขึ้นด้วย ขณะเดียวกันส่วนตัวมีความเห็นว่า การให้ความช่วยเหลือกฎหมายบางประเภท เช่น สถานการณ์ยาเสพติด หรือในสถานการณ์ฉุกเฉินอาจทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ตรงนี้อาจจะต้องมีการให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือทางกฎหมายในกรณีนี้ด้วย นางสมสุข มีวุฒิสม อธิบดีอัยการ สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า สคช. ทำหน้าที่การเผยแพร่กฎหมายและให้การช่วยเหลือแก่ประชาชน โดยมุ่งช่วยเหลือคนจนและผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นหลัก งานของ สคช.ที่ดำเนินการ เช่น การดำเนินคดีแพ่ง, การทำนิติกรรมสัญญา, การไกล่เกลี่ยประนอมและระงับข้อพิพาท, ด้านคุ้มครองสิทธิทางศาล เช่น คดีอุทลุม, การจัดตั้งผู้จัดการมรดก เป็นต้น, การให้คำปรึกษาแก่คนไทยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคคือ มีบุคลากรจำนวนน้อยและงบประมาณไม่เพียงพอ ผศ.ดร.พรรณรายรัตน์ ศรีไชยรัตน์ หัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า แต่ละสถาบันการศึกษาอาจมีวิธีการดำเนินงานในการช่วยเหลือทางกฎหมายที่แตกต่างกันไป แต่จุดร่วมของงานที่สำคัญได้แก่ การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายและการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย ทั้งนี้การดำเนินงานมีปัญหาที่สำคัญคือ ความเข้มแข็งและความยั่งยืน บุคคลากรไม่สามารถทุ่มเทและให้เวลากับงานด้านนี้ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากการระบบการประเมินผลงานของมหาวิทยาลัยไม่รวมงานส่วนนี้เข้าไว้ด้วย จึงเห็นควรต้องบูรณาการงานส่วนนี้เข้ากับการศึกษาเพื่อเป็นการช่วยเหลือคนที่ทำงานด้านนี้ ติดต่อ: สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย : OFFICE OF LAW REFORM COMMISSION OF THAILAND อาคารซอฟต์แวร์ ปาร์ค ชั้น๑๙ ตำบลคลองเกลือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ๑๑๑๒๐ โทร.๐ ๒๕๐๒ ๖๐๐๐ ต่อ ๘๒๗๘ โทรสาร. ๐ ๒๕๐๒ ๖๐๐๐ ต่อ ๘๒๗๔

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ