กรุงเทพฯ--24 เม.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
‘ตราเพชร’ เตรียมโกยยอดขาย หลังกดปุ่มเริ่มเดินเครื่องผลิตอิฐมวลเบาตราเพชร (Diamond Block) เชิงพาณิชย์ได้เร็วกว่ากำหนด คาดเริ่มส่งสินค้าเข้าสู่ช่องทางขายได้ต้นเดือน พ.ค. นี้ รับความต้องการอิฐมวลเบาพุ่ง ดันตลาดรวมเติบโต 20-25% ชูศักยภาพเครือข่ายช่องทางขายสุดแกร่ง ผ่านตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าย่อยและห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายใหญ่กว่า 6,000 ราย ปูพรมสินค้าทั่วประเทศ หวังเจาะลูกค้าโครงการ ผู้รับเหมาก่อสร้างและลูกค้าทั่วไป ชี้คุณสมบัติเด่นสินค้าอิฐมวลเบาตราเพชรช่วยลดความร้อน ลดต้นทุนพลังงานไฟฟ้า 25% กระตุ้นการใช้อิฐมวลเบาในภาคการก่อสร้าง มั่นใจรับรู้รายได้จากการขายอิฐมวลเบาปีนี้ 300 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 500 ล้านบาทในปีถัดไป
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ พื้นไม้ลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปซัม และบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ มีความพร้อมเดินเครื่องจักรสายการผลิตอิฐมวลเบาในเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ตราเพชร วางจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งถือว่าเร็วกว่ากำหนดการเดิม ที่เคยคาดการณ์ไว้ว่า จะเดินเครื่องจักรและผลิตสินค้าอิฐมวลเบาได้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน
ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าว มาจากองค์ความรู้และประสบการณ์ของตราเพชร ที่เตรียมพร้อมทีมติดตั้งเครื่องจักรเพื่อเร่งรัดการดำเนินการและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อทดลองเดินเครื่องจักรผลิตอิฐมวลเบาที่มีประสิทธิภาพ โดยสายการผลิตดังกล่าวของตราเพชร ได้ใช้เครื่องจักรที่มีความทันสมัยที่สุดในโลกจากประเทศเยอรมนี ด้วยเทคโนโลยี Autoclave system ที่มีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีเยี่ยม ช่วยลดการสูญเสียจากระบวนการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ำและเพิ่มขีดความสามารถด้านการทำตลาดอิฐมวลเบาตราเพชรได้ดียิ่งขึ้น
“หลังจากเราได้ใช้เงินลงทุน 595 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรผลิตอิฐมวลเบา มีกำลังการผลิตรวม 3,700,000 ล้านตารางเมตรต่อปีนั้น ขณะนี้เราพร้อมเดินเครื่องจักรผลิตอิฐมวลเบาตราเพชร (Diamond Block) เชิงพาณิชย์ได้เร็วกว่ากำหนด ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้จากสายการผลิตอิฐมวลเบาตราเพชรเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกัน ยังส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ตราเพชร มียอดขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น จึงมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งแน่นอน” นายสาธิต กล่าว
รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด DRT กล่าวด้วยว่า ส่วนภาพรวมความต้องการสินค้าอิฐมวลเบาในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัว 20-25% หรือคิดเป็น 15% จากตลาดผนังรวมทุกวัสดุก่อสร้างมูลค่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าตลาดอิฐมวลเบายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นิยมใช้อิฐมวลเบามาก่อสร้างผนังแทนอิฐมอญเพื่อลดระยะเวลาและต้นทุนด้านการก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มลูกค้าทั่วไปหันมานิยมนำอิฐมวลเบาไปใช้ก่อสร้างและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ดังนั้น การเข้ามาทำตลาดอิฐมวลเบาตราเพชรในช่วงนี้ จึงถือเป็นจังหวะดีที่เข้ามากระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้อิฐมวลเบาเพื่อนำไปใช้ก่อสร้างผนังมากขึ้น
ทั้งนี้ แผนทำตลาดและจัดจำหน่ายสินค้านั้น บริษัทฯ จะใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายของ DRT ที่แข็งแกร่ง ทั้งตัวแทนจำหน่ายและร้านค้ารายย่อย รวมถึงร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ที่มีสาขารวมกันกว่า 6,000 จุดทั่วประเทศ เพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ จะสื่อสารสารความเข้าใจถึงจุดเด่นผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาที่มีคุณสมบัติช่วยลดความร้อนจากภายนอก ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานถึง 25% และงานก่อสร้างเสร็จเร็วขึ้นให้แก่กลุ่มลูกค้าได้รับรู้ เพื่อกระตุ้นการซื้อและนำอิฐมวลเบาไปใช้ก่อสร้างผนังทดแทนการใช้อิฐมอญมากขึ้น
“การเข้ามาทำตลาดอิฐมวลเบาในครั้งนี้ เราเน้นกระตุ้นให้เกิดการใช้อิฐมวลเบาแทนการใช้อิฐมอญในงานก่อสร้าง โดยชูคุณสมบัติเด่นของสินค้าที่ช่วยกันความร้อน ลดค่าไฟฟ้า และช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างที่ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น ส่งผลดีต่อต้นทุนการก่อสร้างโดยรวม ซึ่งจากแนวทางดังกล่าว จึงมั่นใจว่า จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้อิฐมวลเบาให้มีอัตราการขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง” นายสาธิต กล่าว
สำหรับเป้าหมายการทำตลาดอิฐมวลเบาตราเพชร คาดว่าจะทำยอดขายได้ 300-400 ล้านบาทได้ในปีนี้ ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญที่มีผลต่อยอดขายในปีนี้เติบโตได้ 10% ตามเป้าที่วางไว้และในปีถัดไป คาดว่าจะมีการรับรู้รายได้จากอิฐมวลเบาตราเพชรเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านบาท ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ DRT ที่จะเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง