กรุงเทพฯ--25 เม.ย.--ธนาคารกรุงไทย
ธนาคารกรุงไทยเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นประจำไตรมาส 1 พบว่านักธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจและธุรกิจโดยรวมยังขยายตัว หลังโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานชัดเจนขึ้น แต่มีความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติหนี้ยุโรปที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในไซปรัส รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นางสาวสมพิศ เจริญเกียรติกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยถึงผลการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Krung Thai Business Index: KTBI) ประจำไตรมาสที่ 1/2556ซึ่งฝ่ายวิจัยความเสี่ยงธุรกิจ ได้สำรวจความเชื่อมั่นของนักธุรกิจจากทั่วประเทศจำนวนกว่า 2,200 ราย พบว่านักธุรกิจส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจและธุรกิจโดยรวม จะยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี เนื่องจากดัชนียังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 4.2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีความชัดเจนมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 55.58 ในไตรมาส 4/2555 เป็นระดับ 54.98 เนื่องจากนักธุรกิจกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติหนี้ยุโรปที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในไซปรัส รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาและรายได้จากการส่งออก นอกจากนี้ ภาวะภัยแล้ง และการแข่งขันในธุรกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้น นับเป็นปัจจัยลบต่อความเชื่อมั่นด้วย
นางสาวสมพิศ เจริญเกียรติกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ของไทย ยังต้องนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าส่งออก ดังนั้น เงินบาทที่แข็งค่าก็จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนการนำเข้า หรือเป็นการ Natural Hedge ได้บางส่วน แต่ผู้ส่งออก กลุ่ม SME ที่มีการประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย รวมทั้งธุรกิจส่งออกที่ใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท (Local Content) อาจได้รับผลกระทบ เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อาหาร ผู้ส่งออกข้าว อ้อย ยางพารา และสินค้าตกแต่งบ้าน เป็นต้น