กรุงเทพฯ--25 เม.ย.--ปอร์เช่
สตุ้ดการ์ด. 911 เป็นตำนานและเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ปอร์เช่มากว่า 5 ทศวรรษ และมีรถไม่กี่รุ่นในโลกนี้ที่สามารถย้อนกลับไปมองในอดีตและพบว่าตนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้ยาวนานและต่อเนื่องเหมือนปอร์เช่ 911 นี้ 911 ได้กลายมาเป็นขวัญใจของแฟนพันธุ์แท้ปอร์เช่และผู้ที่หลงใหลรถสปอร์ต ตั้งแต่เปิดตัวรุ่น 901 ที่งานมหกรรมยานยนต์ IAA อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้โมทีฟโชว์ ในเดือนกันยายน 1963 และกลายมาเป็นรถสปอร์ตที่คงความนิยมอย่างยาวนานมาจนถึงปัจจุบันนี้ 911 เปรียบเสมือนรุ่นที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับปอร์เช่รุ่นอื่นๆ ตั้งแต่คาเยนน์ (Cayenne) ไปจนถึงพานาเมร่า (Panamera) และปอร์เช่ทุกคัน ในทุกๆ รุ่นต่างนำหลักการและปรัชญาการทำงานของ 911 มาใช้ในการพัฒนาทั้งสิ้น
ปอร์เช่ 911 กว่า 820,000 คันได้ถูกสร้างขึ้น และทำให้กลายมาเป็นรถสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก วิศวกรที่ Zuffenhausen และ Weissach ต่างพยายามกันอย่างหนักเพื่อสร้าง 911 ออกมากว่า 7 เจเนอเรชั่น และทำให้ทั่วโลกได้รู้จักถึงพลังแห่งนวัตกรรมยานยนต์ชั้นเยี่ยมที่ได้ถูกรังสรรออกมาภายใต้แบรนด์ปอร์เช่ได้อย่างสง่างาม 911 โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยการผสมผสานความเป็นเอกลักษณ์และคุณสมบัติที่แตกต่างเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว อาทิ ความเป็นรถสปอร์ตที่ควบคู่กับการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ความเป็นเอกลักษณ์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ความพิเศษไม่เหมือนใครที่มาพร้อมกับการยอมรับทางสังคม การออกแบบที่ลงตัวควบคู่กับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นแล้วว่าในแต่ละเจเนอเรชั่นนั้นต่างเหมาะสมต่อเรื่องราวความสำเร็จที่เหนือชั้นนี้ Ferry Porsche ได้อธิบายเกี่ยวกับคุณภาพที่โดดเด่นของ 911 ไว้ได้เป็นอย่างดีว่า “911 คือรถเพียงคันเดียวที่คุณจะสามารถขับในซาฟารีของอัฟริกา หรือขับในสนามแข่งเลอมัง หรือขับไปดูหนัง หรือขับไปบนถนนที่การจราจรติดขัดในเมืองนิวยอร์กได้”
นอกเหนือจากความเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิคที่ไม่เหมือนใครแล้วยังมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและชั้นนำที่ทำให้ 911 แตกต่างไม่เหมือนใคร แนวคิดและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในปอร์เช่ 911 ต่างได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถแข่งในสนาม และใช้หลักปรัชญาเดียวกันในการพัฒนาตั้งแต่แรกเริ่ม และโด่งดังทั่วโลกในเรื่องของชัยชนะในสนามแข่งและความสามารถรอบตัวของรถ กว่า 2 ใน 3 ของตำนานการแข่งขันปอร์เช่กว่า 30,000 ทั่วโลกนั้นได้รับ ชัยชนะมาจาก 911 เกือบทั้งนั้น
ปอร์เช่เฉลิมฉลองครบรอบ
ในปี 2013 นี้ปอร์เช่จะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ให้แก่สุดยอดตำนานรถสปอร์ตอย่าง 911 โดยจะมีการจัดงานและกิจกรรมต่างๆ หลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่งานโชว์รถ “Retro Classic” ที่เมืองสตุ้ดการ์ดตั้งแต่วันที่ 7-10 มีนาคมที่พิพิธภัณฑ์ปอร์เช่ โดยจะมีการจัดแสดงโชว์รถรุ่นพิเศษถึง 4 รุ่นด้วยกัน คือรุ่น 911 เทอร์โบ คูเป้ (911 Turbo Coupe) รุ่นแรกๆ รุ่น 911 คาบริโอเลต (911 Cabriolet) จากปี 1981 รุ่น 911 จีที1 (GT1) และรุ่น pre-series Type 754 T7 โดยตัวถังของรถทั้งสี่คันได้รับการออกแบบจาก Professor Ferdinand Alexander Porsche
ไม่เพียงเท่านี้ปอร์เช่จะส่ง 911 รุ่นปี 1967 ให้ออกแสดงโชว์ทั่วโลกตลอดทั้งปี โดยจะออกแสดงโชว์กว่า 5 ทวีปทั่วโลกอาทิเช่นที่ Pebble Beach CA, Shanghai, Goodwood UK, Paris และ Australia อีกทั้งยังจะเข้าร่วมงานจัดแสดงโชว์ต่างๆ ระดับนานาชาติ การแข่งขันแรลลี่ และกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งบรรดาแฟนๆ ปอร์เช่และผู้ที่ชื่นชอบปอร์เช่สามารถค้นหาข้อมูลและติดตามได้ที่ porsche.com/follow-911
และที่พิพิธภัณฑ์ปอร์เช่จะจัดให้มีงานฉลองครบรอบ 50 ปีให้กับปอร์เช่ 911 ด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีกำหนดการจัดงานตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน จนถึงวันที่ 29 กันยายน 2013 โดยในงานจะมีการจัดแสดงโชว์พิเศษพร้อมด้วยข้อมูลประวัติศาสตร์และตำนานความสำเร็จต่างๆ รวมไปถึงข้อมูลการพัฒนา 911 อีกด้วย สำหรับนิตยสารของพิพิธภัณฑ์ฉบับฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้จะทำการตีพิมพ์เกี่ยวกับการเฉลิมฉลองภายใต้หัวข้อ “911x911” ด้วยเช่นเดียวกัน
เจเนอเรชั่นของปอร์เช่ 911
911 คันแรก (1963) — ต้นกำเนิดของตำนาน
911 ถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ปอร์เช่ 356 และได้กลายมาเป็นขวัญใจผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างกว้างขวางในขณะนั้น โดยรถต้นแบบได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ Frankfurt IAA Motor Show ในปี 1963 ภายใต้ชื่อรุ่น 901 จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อรุ่นใหม่เป็น 911 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1964 โดยมีเครื่องยนต์แบบที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ 6 สูบเรียงนอน และมีพละกำลังถึง 130 แรงม้า ต่อมาในปี 1965 ปอร์เช่ 912 เครื่องยนต์ 4 สูบจึงถูกผลิตออกมา ตามด้วย 911 S ที่มาพร้อมพละกำลังเครื่องยนต์ 160 แรงม้าได้ถูกนำเสนอในปี 1966 และเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งล้ออัลลอยด์จาก Fuchs มาด้วย ตามมาด้วย 911 ทาร์ก้า (Targa) รุ่นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถเปิดประทุนที่ปลอดภัยเป็นคันแรก โดยมาพร้อมกับ Roll bar แบบเหล็กสแตนเลสซึ่งเปิดตัวในปี 1966 นี้ด้วยเช่นกัน ในปี 1967 ปอร์เช่ได้นำเสนอระบบส่งผ่านกำลังแบบ Semiautomatic Sportomatic 4 จังหวะเป็นครั้งแรก และในปีเดียวกันนี้ 911 T ทั้งรุ่น E และ S ได้เข้าสู่ตลาดด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ปอร์เช่กลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์จากเยอรมนีเจ้าแรกที่ผลิตรถได้เข้ากับกฎและข้อกำหนดควบคุมการปล่อยไอเสียของสหรัฐอเมริกา ในปี 1969 นั้นปอร์เช่ได้นำเสนอเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังเครื่องยนต์มากขึ้นและเพิ่มความจุของเครื่องยนต์เป็น 2.2 และปี 1971 ได้นำเสนอรุ่น 2.4 ลิตร สำหรับ 911 คาร์เรร่า อาร์เอส (911 Carrera RS) 2.7 ลิตร ที่มาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 210 แรงม้าและน้ำหนักที่เบากว่า 1,000 กิโลกรัม ทำการเปิดตัวในปี 1972 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นรถในฝันของผู้ที่ชื่นชอบมาจนถึงวันนี้ โดยมีการตกแต่งสปอยเลอร์หลังแบบ “ducktail” ซึ่งถือได้ว่าเป็นสปอยเลอร์หลังชิ้นแรกที่ได้รับการประดับลงบนรถที่เข้าสายการผลิต
จี ซีรี่ย์ (1973) — เจเนอเรชั่นที่ 2
10 ปีหลังจากเปิดตัว 911 อย่างเป็นทางการนั้น ปอร์เช่ได้เปิดตัวรุ่น จี (G model) ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1973 ถึงปี 1989 ซึ่งถือได้ว่าเป็นระยะเวลาการผลิตที่ยาวนานกว่า 911 เจเนอเรชั่นอื่นๆ โดยรุ่นนี้ได้รับการติดตั้งชิ้นส่วนกันชนหลังด้านล่าง ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออกแบบเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานการทดสอบการชนในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นความปลอดภัยของผู้โดยสารยังได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นด้วยเข็มขัดนิรภัยแบบ three-point ที่ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับรถ รวมถึงเพิ่มที่พักศีรษะเข้าไป ต่อมาในปี 1974 ปอร์เช่ได้เปิดตัวปอร์เช่ 911 เทอร์โบ (911 Turbo) เป็นครั้งแรกโดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3 ลิตร พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 260 แรงม้า และมาพร้อมกับสปอยเลอร์หลัง ด้วยพละพลังที่เหนือชั้นผสมผสานเข้ากับความหรูหราได้อย่างลงตัวนี้เองที่ทำให้ เทอร์โบ (Turbo) ได้กลายมาเป็นตำนานของปอร์เช่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ต่อมาในปี 1977 ปอร์เช่ได้เปิดตัว 911 เทอร์โบ 3.3 ที่มาพร้อมกับพละพลังกำลังเครื่องยนต์ถึง 300 แรงม้า ซึ่งถือได้ว่าดีที่สุดในคลาสรถเดียวกันในขณะนั้น ปี 1983 ปอร์เช่ได้ปล่อย 911 คาร์เรร่า (Carrera) Superseded SC ออกมา ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร 231 แรงม้า และได้กลายมาเป็นรุ่นที่นิยมสำหรับนักสะสม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถเปิดประทุนนั้น ยังสามารถเลือกสั่งปอร์เช่เปิดประทุนได้ตั้งแต่ปี 1982 เป็นต้นมา 911 คาร์เรร่า สปีดสเตอร์ (911 Carrera Speedster) ได้เปิดตัวในปี 1989 ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากรุ่น 356 ในช่วงปี 1950s นั่นเอง
964 (1988) — ความคลาสสิคที่ทันสมัย
ปอร์เช่ปล่อย 911 คาร์เรร่า 4 (Carrera 4) รุ่น 964 ออกมาในปี 1988 ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการเปลี่ยนชิ้นส่วน Platform ของรถใหม่หมดกว่า 85% หลังจากใช้ Platform เดิมมากว่า 15 ปีในการสร้าง 911 ส่งผลให้รถปอร์เช่กลายมาเป็นรถที่ทันสมัยและมั่นคง เครื่องยนต์ของ 964 มีขนาด 3.6 ลิตร แบบ Boxer และมีพละกำลังเครื่องยนต์ 250 แรงม้า รูปลักษณ์ภายนอกของ 964 นั้นแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของหลักการอากาศพลศาสตร์ด้วยการติดตั้งกันชน และการขยายสปอยเลอร์หลังแบบอัตโนมัติ สร้างความแตกต่างและโดดเด่นให้กับรถได้เป็นอย่างมาก การออกแบบไม่เพียงแค่เน้นประสิทธิภาพและศักยภาพของรถแบบสปอร์ตเท่านั้น หากยังเพิ่มในเรื่องของความสะดวกสบายอีกด้วย โดยมาพร้อมกับระบบ ABS, ระบบเกียร์ Tiptronic, ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์, ถุงลมนิรภัย และตัวถังที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยปีกนกล่างแบบอัลลอยด์น้ำหนักเบามาพร้อมกับสปริงขดแทนที่ช่วงล่างแบบ torsion-bar ในรุ่นก่อน นอกเหนือจากรุ่นคาร์เรร่า คูเป้ (Coupe) รุ่นคาบริโอเลต (Cabriolet) และรุ่นทาร์ก้า (Targa) นั้น ในปี 1990 ลูกค้ายังสามารถสั่ง 964 รุ่นเทอร์โบ (Turbo) ได้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเครื่องยนต์จะมีขนาด 3.3 ลิตร แบบ Boxer และในปี 1992 นั้นรุ่นเทอร์โบ (Turbo) ได้รับการปรับเปลี่ยนพัฒนาให้มีพละกำลังเครื่องยนต์มากขึ้น โดยมีพละกำลังสูงสุดถึง 360 แรงม้าในเครื่องยนต์ 3.6 ลิตรนี้ และในวันนี้ 964 คาร์เรร่า อาเอส (Carrera RS), 911 เทอร์โบ เอส (911 Turbo S) และ 911 คาร์เรร่า 2 สปีดเสตอร์ (Carrera 2 Speedster) ได้กลายมาเป็นรุ่นที่นิยมเป็นอย่างมากสำหรับนักสะสม
993 (1993) — รุ่นเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศรุ่นสุดท้าย
993 ได้กลายมาเป็นรุ่นรถที่ผู้ขับขี่ปอร์เช่ต่างหลงรัก การออกแบบได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยทำการเสริมกันชนเข้ากับรูปแบบความสง่างามได้อย่างลงตัว 993 ได้รับชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเรื่องของความอิสระและไว้ใจได้ในเรื่องของประสิทธิภาพ มั่นคงและทรงตัวได้ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นผลมาจากตัวถังอลูมิเนียมที่ได้รับการออกแบบใหม่หมด และในเวอร์ชั่นเทอร์โบนั้นยังถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เป็นเครื่องยนต์แบบ bi-turbo ส่งผลให้รถมีประสิทธิภาพในเรื่องของการปล่อยมลพิษได้ต่ำมากที่สุดในโลก ในปี 1995 และยังติดตั้งล้ออลูมิเนียมแบบ Hollow-spoke ซึ่งไม่เคยใช้กับรถใดมา
ก่อนและถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมของรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เวอร์ชั่นเทอร์โบนี้อีกด้วย อีกทั้งยังมีปอร์เช่ 911 จีที 2 (911 GT2) ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้รถคันนี้กลายเป็นรถสปอร์ตอย่างสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับความเร็วสูงแบบเต็มพิกัด และหลังคากระจกแบบไฟฟ้าซึ่งได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมของ 911 ทาร์ก้า (911 Targa) ด้วยเช่นกัน สำหรับ 993 ได้รับการผลิตตั้งแต่ปี 1993 ถึง 1998 และถือได้ว่าเป็น 911 รุ่นสุดท้ายที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศอีกด้วย
996 (1997) - เครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยน้ำ
รุ่น 996 ที่ได้รับการผลิตตั้งแต่ปี 1997 ถึงปี 2005 ได้กลายมาเป็นรุ่นที่เรียกว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ 911 โดย 996 นี้จะมีทั้งความเป็นตำนานแบบดั้งเดิมที่คลาสสิค หากแต่มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มต้นจากเครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 300 แรงม้าและลดการปล่อยมลพิษ เสียง และการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น รูปลักษณ์ภายนอกได้รับการผสมผสานเส้นสายความคลาสสิคของ 911 ไว้ได้เป็น อย่างดี หากแต่มีค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน (cW) ที่ต่ำเพียง 0.30 เท่านั้น ไฟหน้าได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่โดยการบูรณาการไฟเลี้ยวเข้าไว้กับไฟหน้า ซึ่งในภายหลังจะพบว่ามีหลายยี่ห้อได้นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับรถยี่ห้ออื่นๆ ภายในห้องโดยสารผู้ขับขี่จะสัมผัสถึงห้องโดยสารใหม่ทั้งหมด การขับขี่แบบสะดวกสบายมีบทบาทที่สำคัญต่อผู้ขับขี่นอกเหนือจากคุณลักษณะที่โดดเด่นแบบสปอร์ต 911 จีที 3 (GT3) ได้กลายมาเป็นรุ่นเด่นในปี 1999 ส่วน 911 จีที 2 (911 GT2) ที่ติดตั้งระบบเบรกเซรามิกมาเป็นมาตรฐานเป็นคันแรกได้ถูกส่งออกสู่ตลาดในปี 2000
997 (2004) — ความคลาสสิคและความทันสมัย
ปอร์เช่ทำการเปิดตัว 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) และ 911 คาร์เรร่า เอส (911 Carrera S) เจเนอเรชั่นใหม่หรือเป็นที่รู้จักเป็นการภายในว่ารุ่น 997 ออกมาในเดือนกรกฎาคม 2004 ไฟหน้าแบบวงรีได้รับการแยกออกจาก blinkers ที่ติดตั้งเข้ากับกระจังหน้าเพื่อให้ระลึกถึง 911 รุ่นเก่า เครื่องยนต์ 3.6 ลิตร แบบ Boxer มาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 325 แรงม้า ในขณะที่รุ่นคาร์เรร่า เอส (Carrera S) มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 3.8 ลิตรและมีแรงม้าสูงสุดถึง 355 แรงม้า ตัวถังได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่หมด และในรุ่นคาร์เรร่า เอส (Carrera S) นั้นได้รับการติดตั้งระบบการจัดการช่วงล่าง Porsche Active Suspension Management มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับรถ ต่อมาในปี 2006 ปอร์เช่ได้ส่งรุ่น 911 เทอร์โบ (911 Turbo) ออกมาให้ยลโฉม และถือได้ว่าเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ติดตั้ง Turbocharger ที่มาพร้อมกับ Variable Turbine Geometry และใช้กับน้ำมันเชื้อเพลิงธรรมดาได้ 997 ได้รับการปรับโฉมอีกครั้งในปี 2008 โดยการปรับเปลี่ยนพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ให้ประหยัดมากขึ้นด้วยระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง
Direct Fuel Injection และระบบส่งกำลังแบบคลัทซ์คู่ 911 ซีรี่ย์ถูกส่งออกมาในหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้เลือกสรรตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคูเป้ รุ่นทาร์ก้า รุ่นเปิดประทุน หรือเลือกแบบขับเคลื่อนล้อหลัง หรือขับเคลื่อนสี่ล้อ รุ่นเทอร์โบ รุ่นจีทีเอส และรุ่นพิเศษอื่นๆ กว่า 24 รุ่นเลยทีเดียว
991 (2011) — ทำให้ดีขึ้นด้วยประสบการณ์การขับขี่
รถคันนี้เป็นที่รู้จักกันเป็นภายในว่ารุ่น 991 และเป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีชั้นนำที่รวมตัวกันอยู่ใน 911 คันนี้ อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็น 911 เจเนอเรชั่นใหม่ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะเครื่องยนต์เข้าสู่ระดับใหม่และสร้าง Benchmark ให้กับวงการรถสปอร์ต ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น กว้างขึ้น และมาพร้อมกับยางที่ใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมตามหลักสรีระศาสตร์มากขึ้น จุดเด่นเหล่านี้ได้ถูกผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้รถคันนี้มีประสิทธิภาพการขับขี่ที่สปอร์ตมากขึ้นและสะดวกสบายมากขึ้น ในทางเทคนิคนั้น 911 คันนี้ได้นำหลักการ Porsche Intelligent Performance มาใช้ในการพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อให้ได้มาซึ่งการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นหากแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้นควบคู่กันไป เครื่องยนต์เล็กลงโดยจะอยู่ที่ขนาด 3.4 ลิตร ในรุ่นคาร์เรร่า (Carrera) (และได้รับการพัฒนาให้มีพละกำลังแรงม้ามากกว่ารุ่น 997/II ถึง 5 แรงม้า) โครงสร้างได้รับการปรับเปลี่ยนให้เน้นการใช้อลูมิเนียมและเหล็กไฮบริด เพื่อลดน้ำหนักตัวรถให้ลดลง อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ได้ถูกส่งเข้าสู่รถคันนี้คือการติดตั้งระบบควบคุมตัวถังเพื่อความคล่องตัวอย่าง Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) และระบบเกียร์ธรรมดา 7 สปีด รูปลักษณ์ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่หมดเพื่อเพิ่มความคล่องตัว ลาดขึ้น ยาวขึ้น และมีรายละเอียดการออกแบบที่แม่นยำ ส่งผลให้ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า (Carrera) คันนี้ยังคงเป็น 911 ที่ไม่ผิดเพี้ยนและกลายมาเป็น 911 ที่ดีที่สุดในขณะนี้อีกด้วย
บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรง พร้อมให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ ได้ที่ แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th