กรุงเทพฯ--25 เม.ย.--เอสซีจี
เอสซีจีแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2556ปรับโครงสร้างบริหาร รวม 3 ธุรกิจเป็นหนึ่งพร้อมรุกขยายธุรกิจเซรามิกในเวียดนาม เพื่อมุ่งสู่ผู้นำอาเซียนอย่างยั่งยืน
ผลประกอบการเอสซีจี ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2556 ยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องและผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกธุรกิจ เผยปรับโครงสร้างการบริหารงาน รวม 3 ธุรกิจเป็น เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รองรับการขยายธุรกิจในอาเซียน พร้อมรุกขยายธุรกิจเซรามิกในเวียดนาม ถือหุ้น Prime Group ร้อยละ 85 เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน มุ่งสู่ผู้นำตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างในภูมิภาค ตามวิสัยทัศน์ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานประจำไตรมาส 1 ปี 2556 ของเอสซีจี มีกำไรสำหรับงวด 8,796 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของทุกธุรกิจ ประกอบกับมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น โดยเอสซีจีมีรายได้จากการขาย 109,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจกระดาษ และธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เอสซีจี มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และมีกำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการฟื้นตัวของธุรกิจเคมีภัณฑ์
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีรายได้จากการขาย 8,280 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 53,634 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 13 ของสินทรัพย์รวมของบริษัทสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2556 มีจำนวน 407,940 ล้านบาทผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2556 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 53,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 112 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขาย 15,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 43,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรวมรายได้จากกิจการคอนกรีตผสมเสร็จในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายกานต์ เปิดเผยว่า เพื่อความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืนในอาเซียน เอสซีจีได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานภายใน โดยรวม 3 ธุรกิจของเอสซีจี ได้แก่ ซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่าย เข้าด้วยกัน รวมเรียกว่า เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง หรือ SCG Cement-Building Materials โดยถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุกของเอสซีจีในการขยายธุรกิจในอาเซียน ตามวิสัยทัศน์ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ รวมถึงเทคโนโลยีในการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services : HVA) สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเอสซีจีอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว ทั้งนี้ เอสซีจีจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมากยิ่งขึ้น เนื่องจากคาดว่าธุรกิจดังกล่าวจะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยในปีที่ผ่านมา ธุรกิจดังกล่าวมียอดขายรวม 154,537 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 36 ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมด มีกำไรสุทธิรวม 13,129 ล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท และคาดว่าสัดส่วนรายได้รวมของธุรกิจนี้จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 36 เป็นมากกว่าร้อยละ 40 ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมด ในอีก 5 ปีข้างหน้า
“นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและเป็นผู้นำตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างในภูมิภาค ตามวิสัยทัศน์ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ล่าสุดได้เข้าถือหุ้นใน Prime Group Joint Stock Company หรือ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำของเวียดนาม ร้อยละ 85 อย่างสมบูรณ์แล้ว ด้วยมูลค่าธุรกิจประมาณ 7,200 ล้านบาท ส่งผลให้เอสซีจีมีกำลังการผลิตเซรามิกรวมทั้งหมด 225 ล้านตารางเมตร สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยร้อยละ 48 อยู่ในประเทศไทย ร้อยละ 33 ในประเทศเวียดนาม ร้อยละ 14 ในประเทศอินโดนีเซีย และร้อยละ 5 ในประเทศฟิลิปปินส์” นายกานต์ กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) เพื่อเติบโตสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติการลงทุนเพื่อเพิ่มคุณภาพสินค้า และขยายการผลิต LDPE ของบริษัท ไทยโพลิเอททิลีน ในเอสซีจี เคมิคอลส์ อีก 60,000 ตันต่อปี รวมเป็น 152,000 ตันต่อปี ด้วยเงินลงทุน 2,475 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบบรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงที่มีศักยภาพเติบโตดี โดยจะเริ่มผลิตได้ในปี 2559
ที่ผ่านมา เอสซีจี มียอดขายสินค้า HVA เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกของปีนี้ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 37,504 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า SCG eco value มียอดขาย 22,668 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของยอดขายรวม เติบโตขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 14 ของยอดขายรวม ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมของเอสซีจี