กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--ประดับพลอย
เช้าวันที่สดใสของ กิจกรรมแรลลี่ครอบครัว ในโครงการมหกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ (จังหวัดนครนครนายก, ปราจีนบุรี, สระแกัว, ฉะเชิงเทรา และจังหวัดสมุทรปราการ) ระยะทางกว่า 250 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มความรัก ความสามัคคี ความสัมพันธ์ในครอบครัว และเป็นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัด 5 จังหวัด วันนี้บรรดาผู้เข้าแข่งขันแรลลี่ครอบครัว ต่างก็ขับรถยนต์ของตนเองทยอยกันมาตั้งแต่เช้า มีทั้งรถยนต์เก๋ง รถกระบะ รถตู้ โดยมากันเป็นกลุ่มครอบครัว พ่อแม่และลูก บางคันก็มากันแบบเพื่อนๆ และที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็นคู่รักหรือแฟนกัน เมื่อมาครบรวมแล้ว 80 คัน
เมื่อได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ นายชาญณรงค์ สุหงษา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครนายก, จรรยาลักษ์ สาธิตกิจ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดฉะเชิงเทรา, สานนท์ เพ็ญแสง รักษาการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระแก้ว และสัตตบงกช ประดับพลอย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประดับพลอย จำกัด ร่วมกันตัดริบบิ้นเปิดงาน และโบกธงปล่อยขบวนแรลลี่ครอบครัว ณ ศาลากลางจังหวัดนครนายก จุดสตาร์ท รถที่เข้าร่วมแข่งขันต่างสตาร์ทเครื่องรอด้วยความมุ่งมั่นและมั่นใจ เมื่อได้เวลาโบกธง ทุกคันก็เหยียบคันเร่งออกจากจุดสตาร์ทมุ่งหน้าสู่ RC แรก พุทธสถานจีเต็กลิ้ม จังหวัดนครนายก ทันที พุทธสถาน จี เต็ก ลิ้ม เป็นศูนย์ส่งเสริม พระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมไทย — จีน จ.นครนายก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2547 คำว่า ”จี เต็ก ลิ้ม” มีความหมายว่า เป็นที่ปฏิบัติหรือบำเพ็ญพจน์ขององค์กวนอิมโพธิสัตว์หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ อุทยาน ไผ่ม่วง พุทธสถานแห่งนี้ได้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมจีน และตามความคติความเชื่อของมหายานโดยใช้หลัก ฮวง จุ้ย
ภายในพุทธสถาน จี เต็ก ลิ้ม เป็นที่ประดิษฐานของ“ ไฉ่ซิ้งเอี๊ย “เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ปางมหาเศรษฐีชัมภล ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และยังได้รวบรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์มงคลทั้งของพุทธมหายานและลัทธิเต๋าไว้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งเทพเจ้าอีกหลายองค์ เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม สูง 9 เมตร เทพเจ้าเห้งเจีย เจ้าพ่อกวนอู เจ้าพ่อเสือ พระไภสัชยคุรุพุทธเจ้า ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 และพระพิฆเนศวร นอกจากนี้ ทางพุทธสถานยังได้มีการพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในทุก ๆ ปีจะมีประชาชนมากราบไหว้ขอพรเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ , ตรุษจีนจะมีประชาชนมาฝากดวง สะเดาะเคราะห์เพื่อต่อดวงชะตาในปีนั้นๆให้ปราศจากอุปสรรคเป็นจำนวนมาก
เมื่อกราบไหว้ขอพรจากเจ้าแม่กวนอิม องค์ไฉ่ซิงเอี๊ย และพระพิฆเนศเรียบร้อย ทุกคันก็มุ่งหน้าสู่ RC 2 ทันที ระหว่างทางต้องหาภาพปริศนาและเรียงลำดับให้ถูกต้อง บางคันก็ต้องค่อยๆ ขับไปเรื่อยๆ ตามระยะทางที่กำหนด บางคันก็จอดรถเดินลงไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นภาพที่กำหนดไว้หรือไม่ แล้วก็ถึงวัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา จุดที่สอง วัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองฉะเชิงเทราสร้างขึ้นตอนปลายของกรุงศรีอยุธยา เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป แต่เดิมมีชื่อว่า "วัดหงส์" เพราะมี "เสาหงส์" ต่อมาหงส์บนยอดเสาหักตกลงมาเหลือแต่เสา และมีผู้เอาธงขึ้นไปแขวนแทน จึงได้ชื่อว่า "วัดเสาธง" ครั้นเมื่อเสาธงหักเป็นสองท่อน จึงเรียกชื่อใหม่ว่า "วัดเสาธงทอน" ส่วนชื่อ "วัดโสธร" อันมีความหมายว่า "บริสุทธิ์" และ "ศักดิ์สิทธิ์" นั้น เรียกตามพระนามของพระพุทธโสธร หรือหลวงพ่อโสธร ต่อมาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดโสธรวรารามวรวิหาร"
ในปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ ทรงมีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม ซึ่งพระจริปุณโญ ด. เจียม กุลละวณิชย์ (หลวงพ่อเจียม) อดีตเจ้าอาวาสจึงได้รวบรวมเงินบริจาคเพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็นผู้กำกับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ลักษณะพระอุโบสถหลังใหม่เป็นแบบรัตนโกสินทร์ประยุกต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ น้ำหนัก 77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงตัดหวายลูกนิมิต เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549 นับเป็นที่ปลื้มปิติของชาวฉะเชิงเทราอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทั้งนี้ทุนทรัพย์ที่ใช้ในการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่นี้ เป็นเงินบริจาคจากประชาชนทั้งหมดไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินแต่ประการใด
การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่สร้างขึ้นครอบพระอุโบสถหลังเดิม โดยใช้เทคนิควิศวกรรมสมัยใหม่ เป็นงานที่มีความท้าทายเชิงวิศวกรรมอย่างยิ่ง เนื่องจากตำแหน่งที่ประดิษฐานขององค์พระนั้น เป็นตำแหน่งที่มีความเชื่อว่าเป็นตำแหน่งที่ทำให้บ้านเมืองฉะเชิงเทราเจริญรุ่งเรือง จึงมีข้อจำกัดในการก่อสร้างที่ว่า การก่อสร้างนี้จะต้องไม่มีการเคลื่อนองค์พระแม้แต่กระเบียดเดียว ทั้งทางราบ และทางดิ่ง (หมายถึงว่าจะยกขึ้นลงก็ไม่ได้) โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธร และพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์ โดยต้องสร้างอาคารโครงสร้างเหล็กครอบฐานชุกชี ติดตั้งเครื่องระบายอากาศ มีเครื่องวัดความชื้น และติดตั้งเครื่องวัด และควบคุมอุณหภูมิและความชื้น
ในส่วนของศิลปะภายในพระอุโบสถหลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบนับตั้งแต่พื้นพระอุโบสถ เสา ผนัง และเพดาน จะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาลโดยตำแหน่งของดวงดาวบนเพดาน กำหนดตำแหน่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 ณ เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ เหนือมณฑปพระอุโบสถ และภาพของจักรวาลบนเพดานจะเป็นภาพเขียน ประดับโมเสกสี จึงเป็นพระอุโบสถที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุด
หลังกราบสัดการะองค์หลวงพ่อโสธร และชมความงามของโบสถ์หินอ่อนแล้ว ก็เดินทางต่อไปยัง RC 3 นั่นคือโบราณสถานสระมรกต จังหวัดสระแก้ว โบราณสถานสระมรกต อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองมโหสถ เป็นกลุ่มโบราณสถานที่ถูกสร้างซ้อนทับกันหลายสมัย เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเขมรโบราณ เริ่มตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 14 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างศิลาแลงและอิฐ ส่วนใหญ่คงเหลือเฉพาะรากฐานอาคารเท่านั้น
เมื่อ พ.ศ. 2529 ระหว่างการขุดแต่งได้ค้นพบรอยพระพุทธบาทคู่สลักอยู่บนศิลาแลงธรรมชาติ วัดขนาดความกว้างรวมของพระบาททั้งสองข้างรวม 3.10 เมตร พระบาทข้างซ้ายยาว 3.50 เมตร พระบาทข้างขวายาว 3.30 เมตร กำหนดอายุอยู่ช่วงราว พ.ศ. 1484 ตามประวัติว่าพบอยู่ที่สระบัวล้าทางทิศเหนือของสระมรกต มีข้อความที่แต่งขึ้นในลังกา สอดคล้องกับที่งานช่างลังกานิยมสลักรูปพระพุทธบาทคู่ ที่ฝ่าพระบาทสลักรูปธรรมจักรนูนทั้งสองข้างระหว่างรอยพระบาทมีการกากบาทสลักลึกเป็นร่อง ตรงกลางมีหลุมแบบงานช่างอินเดียและลังกา สันนิษฐานว่า มีไว้เพื่อปักฉัตรหรือร่มรอยพระพุทธบาทคู่นี้คาดว่าสร้างขึ้นสมัยทวารวดีถึงสมัยลพบุรีนับเป็นรอยพระพุทธบาทที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
ภายในเมืองโบราณแห่งนี้ยังมี สระมรกต ซึ่งเป็นสระรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 115 เมตร ยาว 214 เมตร ลึก 3.50 เมตร มีพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ สันนิษฐานว่าขุดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำและได้นำศิลาแลงไปใช้ในการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีสระน้ำโบราณอีก 2 แห่ง คือ สระแก้วและสระขวัญ อยู่ห่างจากคูเมืองประมาณ 100 ม. ลักษณะเป็นสระรูปสี่เหลี่ยม ที่ขอบสระแก้วมีภาพสลักรูปสัตว์บนศิลาแลง เช่น ช้าง สิงห์ เสือ มกร ฯลฯ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เป็นสระน้ำที่ใช้ประกอบพิธีกรรม เมื่อไปถึงผู้ร่วมแข่งขันต่างร่วมกันหาชื่อพันธุ์ไม้ในบริเวณโบราณสถานสระมรกต เดินบ้าง วิ่งบ้าง ไปยังต้นไม้ ต้นโน้น ต้นนี้ ที่มีป้ายปักติด แล้วช่วยกันจดรายละเอียดของต้นไม้ไว้ก่อน แล้วก็เดินไปสักการะรอยพระพุทธบาทคู่
จากนั้นก็เดินทางไป RC 4 น้ำตกเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี น้ำตกเขาอีโต้ เป็นธารน้ำไหลผ่านโขดหินน้อยใหญ่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ความสูงไม่มากนัก สภาพบริเวณ โดยรอบเป็นป่าโปร่ง มีน้ำมากเฉพาะในฤดูฝน และก่อนถึงตัวน้ำตกประมาณ 400 เมตร หรือเหนือธารน้ำมีอ่างเก็บน้ำจักรพงษ์ หรืออ่างเขาอีโต้ จากอ่างเก็บน้ำจะมีถนนขึ้นไปจนถึงยอดเขา เพื่อชมทัศนียภาพโดยรอบ ระยะทางประมาณ 11 กม. และช่วงกม.ที่ 6 จะมีเนินมหัศจรรย์ คือถ้าจอดรถแล้วเข้าเกียร์ว่างไว้รถจะไหลขึ้นเนินได้ซึ่งเกิดจากภาพลวงตาจากภูมิประเทศโดยรอบ
ปิดท้ายด้วยการสักการะศาลพระนเรศวร จังหวัดปราจีนบุรี RC สุดท้าย ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ สี่แยกเนินหอม เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในท่าประทับยืน และพระสุพรรณกัลยาที่ทรงประทับนั่งอยู่ภายใน เหตุที่สร้างศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ได้เคยเสด็จกรีฑาทัพจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปปราบนักพระสัฏฐาแห่งเมืองละแวก ภายหลังจับตัวได้ และได้ทำพิธีปฐมกรรม ระหว่างการเดินทางทัพได้หยุดพักที่เขตจังหวัดปราจีนบุรี จากประวัติศาสตร์ในครั้งนั้นจังหวัดปราจีนบุรี จึงได้สร้างศาลแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาเพื่อเป็นสิริมงคล และเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระองค์ท่าน
นอกจากนี้ภายในยังมีอีก 2 ศาลซ้ายขวา ที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในอริยาบททรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า "ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดีมิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป" เป็นคำประกาศอิสระภาพจากพม่า และภายในบริเวณทั่วไปจะพบกับรูปปั้นไก่จำนวนมาก อันเป็นที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วว่า ถ้าจะขอโชค ขอลาภจากองค์สมเด็จพระนเรศวรฯ จะต้องแก้บนด้วยไก่ เนื่องจากเป็นสัตว์เลี้ยงที่พระองค์ทรงโปรดเมื่อครั้งทรงพระเยาว์
ขอพรขอโชคลาภเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทผู้เข้าร่วมแข่งขันแรลลี่ครอบครัวทุกคันก็เดินทางกลับสู่โรงแรมสีดา รีสอร์ท ที่พัก เพื่อร่วมงานเลี้ยงต้อนรับผู้เข้าร่วมการแข่งขันในบรรยากาศ “คาวบอย ไนท์” โดยมีนายชาญณรงค์ สุหงษา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครนายกเป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย จรรยาลักษ์ สาธิตกิจ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดฉะเชิงเทรา, สานนท์ เพ็ญแสง รักษาการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระแก้ว, สุรเชษฐ รัตนนุกูล ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดปทุมธานี และชลชา บุญโต นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ตัวแทนท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดปราจีนบุรี ร่วมกันมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขัน และจับรางวัลให้กับผู้ร่วมการแข่งขันด้วย