กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--IR network
“สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย” ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงจากแดนอีสาน มั่นใจหุ้น CHO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันนี้ (13 พฤษภาคม 2556) จะได้รับการตอบรับดีเยี่ยมจากปัจจัยพื้นฐานที่แน่นปึ๊กเป็นแรงหนุน สินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับโลกและมีศักยภาพการแข่งขันในระดับโลก ด้านที่ปรึกษาทางการเงินประสานเสียงอันเดอร์ไรท์ ระบุกระแสความต้องการหุ้นล้นหลามในช่วงเปิดขายไอพีโอ รวมทั้งการกำหนดราคาไอพีโอเหมาะสม จึงเชื่อว่า CHO จะได้รับการตอบรับที่ดีและคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด(มหาชน) หรือ CHO มีความเชื่อมั่นว่าเมื่อหุ้น CHO ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันนี้ ( 13 พ.ค. 2556 ) คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากกระแสตอบรับในช่วงเปิดขายหุ้นไอพีโอระหว่างวันที่ 2,3 และ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตธุรกิจของ CHO ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเยี่ยม
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการออกแบบ สร้างสรรค์ ผลิต และเป็นผู้ผสานเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมระดับโลก เข้ากับการจัดการอย่างมืออาชีพ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (The Engineering and Management Integrator) โดยจะเป็นผู้ร่วมสร้างและเพิ่มอำนาจการแข่งขันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีระบบราง โลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอีกด้วย ขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ก็ได้รับการยอมรับในระดับโลกอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น Catering Hi-loaders Truck A-380 ซึ่งสามารถพัฒนาแบบโครงสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์พิเศษ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับเครื่องบินทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ให้เหมาะสมกับเครื่องบินทุกรุ่นทุกขนาดได้โดยเฉพาะรถลำเลียงอาหารสำหรับเครื่องบินแอร์บัส A380 ซึ่งปัจจุบันนับว่าเป็นเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และต้องอาศัยเทคโนโลยีระบบวิศวกรรมที่เที่ยงตรง แม่นยำอย่างมาก ปัจจุบันในทั่วโลกมีผู้ผลิตเพียง 2 รายเท่านั้น โดย “ช.ทวี ดอลลาเซียน” เป็นหนึ่งในสองรายของโลกที่สามารถผลิตได้
“ขอให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นใน CHO ว่าคณะผู้บริหารและพนักงานทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยกันผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงมีความมุ่งมั่นที่จะสรรค์สร้างนวัตกรรมด้านวิศวกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อนักลงทุนให้มากที่สุด อีกทั้ง บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอหรือเข้าประมูลรับงานในโครงการต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนอีกเป็นจำนวนมาก” นายสุรเดช กล่าวในที่สุด
สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นของ CHO ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO คือ กลุ่มทวีแสงสกุลไทย ถือหุ้น 67.30% ก่อนเสนอขายหุ้น IPO ถือหุ้น 93.18% ,กลุ่ม DOLL Fahrzeugbau AG/1 ถือหุ้น 1.32% ก่อนเสนอขายหุ้น IPO ถือหุ้น 1.82% และบริษัท พีทีแอลที อินเตอร์เทรด แอล.แอล.ซี จำกัด ถือหุ้น 3.61%ก่อนเสนอขายหุ้น IPO ถือหุ้น 5.00%
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ บมจ.ทวี ดอลลาเซียน ระบุว่าด้วยนักลงทุนมีความเข้าใจถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งบริษัทฯ ยังกุมหัวใจสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ อาทิ นวัตกรรมด้านวิศวกรรมยานยนต์ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษอีกด้วย จึงเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้น CHO
ประกอบกับกระแสหุ้นไอพีโอในช่วงที่ผ่านมา ได้รับความสนใจที่ดีจากนักลงทุน บวกกับธุรกิจของบริษัทฯ อยู่ในกลุ่มเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ดีตลอดมา อีกทั้งผลการเปิดให้จองซื้อหุ้นในช่วงที่ผ่านมาพบว่าได้รับการตอบรับดีมาก จึงเชื่อว่าหุ้น CHO เข้าซื้อขายวันแรกจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนและน่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ลงทุนได้ไม่แพ้หุ้นตัวอื่นๆ จากปัจจัยบวกที่สนับสนุนจำนวนมากในขณะนี้
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.ช.ทวี ดอลลาเซียน กล่าวว่า CHO มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งมาก ด้วยธุรกิจที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน สั่งสมประสบการณ์ในด้านการออกแบบ สร้างสรรค์ ผลิตตัวถังและติดตั้งระบบวิศวกรรมที่เกี่ยวกับยานยนต์ เข้ากับการจัดการอย่างมืออาชีพจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ขณะเดียวกัน CHO ยังมีพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นชั้นแนวหน้าของโลกอีกด้วย ดังนั้นจึงทำให้มั่นใจว่าเมื่อ CHO เข้าซื้อขายในวันแรกจะได้รับการตอบรับที่ดีและขึ้นแท่นเป็นขวัญใจคนใหม่ของนักลงทุนได้ไม่ยาก
โดยเม็ดเงินที่ “ช.ทวี ดอลลาเซียน” ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จำนวนประมาณ 360 ล้านบาท บริษัทฯ จะนำไปใช้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาระบบออโตเมชั่นเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนและผลักดันให้ธุรกิจมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต