กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โชว์ผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 349 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 184 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 189 ล้านบาท
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้เดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงาน Q1/56 บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิ 539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 349.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 184.32 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 189.58 ล้านบาท และเนื่องจากผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนดังกล่าวแสดงผลกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 20 บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 700.75 ล้านบาท จาก 548.31 ล้านบาท เป็น 1,249.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 127.80 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 6,707 ล้านบาท เป็น 15,072 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจาก 26,886 ล้านบาท เป็น 57,928 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 10.04 ล้านบาท จาก 64.91 ล้านบาท เป็น 74.95 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.46 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 5,482 สัญญา เป็น 10,445 สัญญา ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน โดยรวมของตลาดอนุพันธ์ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 35,101 สัญญา เป็น 77,118 สัญญา
สำหรับรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 94.33 ล้านบาท จาก 71.27 ล้านบาท เป็น 165.60 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 132.35 เนื่องมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดทุนส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เฉลี่ยสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 5,043 ล้านบาท เป็น 12,237 ล้านบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 448.92 ล้านบาท จาก 512.13 ล้านบาท เป็น 961.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 87.66 ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเพิ่มขึ้น 58.26 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 122.51 เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยที่จ่ายให้แก่เงินวางหลักประกันของลูกค้าและเงินกู้ยืมระยะสั้น ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย ซึ่งเพิ่มขึ้น 41.03 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79.11 และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 335.08 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 114.22 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ และผลตอบแทนของเจ้าหน้าที่การตลาด จากการที่ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น และในระหว่างงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 บริษัทฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ โดยได้นำมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได้ มาถือปฏิบัติ มีผลให้ต้องปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดว้นที่ 31 มีนาคม 2555 ทำให้ภาษีเงินได้ลดลง และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1.95 ล้านบาท