CCP เผยบริษัทย่อย “ชลบุรีกันยง” ขายสิทธิ์ซื้อคืนที่ดินสาขาพัทยา 282.5 ล้านบาท เตรียมรับรู้รายได้ภายในปีนี้

ข่าวอสังหา Thursday May 16, 2013 10:52 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--WorkLink CCP เผยบริษัทย่อย “ชลบุรีกันยง” ขายสิทธิ์ซื้อคืนที่ดินสาขาพัทยา 282.5 ล้านบาท เตรียมรับรู้รายได้ภายในปีนี้ มั่นใจปี 56 โต 15-20% รายได้รวมไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เล็งขยายกำลังผลิตเพิ่มช่วงไตรมาส 3 รองรับออร์เดอร์ล้นมือ นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน)(CCP) เปิดเผยว่า บริษัท ชลบุรีกันยง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CCP ได้ทำสัญญาขายสิทธิ์ซื้อคืนอันดับแรก ของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของ กันยงโฮมสโตร์ สาขาพัทยา ขนาดที่ดิน 18 ไร่ 1 งาน 71 ตารางวา ในมูลค่า 282.5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 56 ที่ผ่านมา โดยผู้ซื้อเป็นบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งนี้รายได้จากการขายสิทธิ์ ดังกล่าว 282.5 ล้านบาท จะรับรู้เป็นรายได้พิเศษทั้งจำนวนภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามการธุรกรรมดังกล่าวส่งผลให้บริษัทต้องปิดการดำเนินงานของ กันยงโฮมโสตร์ สาขาพัทยา ภายใน 6 เดือน “การขายสิทธ์ซื้อคืนที่ดินดังกล่าวทำให้ฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดของกิจการปรับตัวดีขึ้น ส่งผลดีต่อการดำเนินงานของทั้งกลุ่ม อย่างไรก็ตามหากไม่มีรายได้จากการขายสิทธิ์ซื้อคืนที่ดินดังกล่าว ในปีนี้ CCP ก็มีแนวโน้มการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 15-20% หรือ มีรายได้รวมประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน”นายอาทิตย์ กล่าว สำหรับแนวโน้มการดำเนินงาน CCP ในช่วงที่เหลือของปี 56 ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากความต้องการคอนกรีตเพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการภาครัฐและเอกชนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในส่วนของเขตภาคตะวันออกและทั่วประเทศ ส่งผลให้บริษัทได้รับออเดอร์จากลูกค้าโครงการประเภทต่างๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีแผนเข้าเสนองานใหม่ของภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามการที่ออเดอร์ผลิตภัณฑ์คอนกรีตรูปแบบต่างๆมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขนส่งด้วยเช่นกัน เพื่อให้สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการใช้งานและส่งมอบได้ทันเวลา โดยในช่วงไตรมาส 2 กำลังผลิตและขั้นตอนการขนส่งของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทันต่อความต้องการใช้งานของลูกค้า แต่ในช่วงไตรมาส 3 อาจต้องมีการพิจารณาขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมเพื่อรองรับออเดอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นายอาทิตย์ กล่าวต่อไปถึงผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ ว่า บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 682.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 40.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 54.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตเนื่องจากมีการส่งงานและรับรู้รายได้จากโครงการภาครัฐและภาคเอกชนเพิ่มขึ้นและสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยอยู่ที่ 17.2%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ