กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
นางสาวบุษบา ดาวเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯมั่นใจในธุรกิจใหม่สามารถต่อยอดธุรกิจเดิมให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งปีนี้เรายังเดินหน้าเต็มที่ในธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมมุ่งสร้างสมาชิกลูกค้า Pay TV โดยที่ธุรกิจเดิมยังมีความมั่นคงและเติบโตในระดับที่ไม่ต่างจากปีที่ผ่านๆ มา”
ในไตรมาส 1/2556 บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจโฮมช็อปปิ้ง และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เติบโตถึงร้อยละ 77 โดยมีรายได้รวม 374 ล้านบาท ในส่วนของรายได้จากธุรกิจเดิม ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจเพลง ธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจสื่อ ธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจบริการรับจัดและบริหารกิจกรรม ธุรกิจแอนิเมชั่น และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง มีจำนวน 2,219 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้สูงกว่าปกติ เนื่องจากมีโครงการพิเศษที่มียอดสูง โดยรายได้จากธุรกิจสื่อมีการเติบโตถึงร้อยละ 14 จากปีก่อน ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดธุรกิจสื่อ รายได้รวมทั้งหมดของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2556 จำนวน 2,593 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 11 โดยมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ประมาณร้อยละ 14 เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนร้อยละ 7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ กำไรจากธุรกิจเดิมอยู่ในระดับที่มีความมั่นคง สำหรับธุรกิจใหม่นั้นบริษัทฯได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลงทุนในคอนเทนต์จากต่างประเทศที่หลากหลาย และมีคุณภาพ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกรูปแบบ ทั้งคอนเทนต์ประเภทกีฬา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลคัพ ได้แก่ Capital One Cup (อังกฤษ) Copa do Brasil (บราซิล) และ Coupe de la Ligue (ฝรั่งเศส) หรือลีกฟุตบอลระดับโลก เช่น Bundesliga (เยอรมัน) Ligue 1 (ฝรั่งเศส) J.League (ญี่ปุ่น) nPower Championships (อังกฤษ) Argentina League (อาร์เจนติน่า) และ Football Brasil (บราซิล) มีให้รับชมครบถ้วน และคอนเทนต์ประเภทสาระบันเทิง เช่น Nick Jr., Fox Crime, NAT Geo, Warner TV รวมถึงภาพยนตร์ชั้นนำทั้งจากตะวันออกและตะวันตก และคอนเทนต์ใหม่อื่นๆ เพื่อให้ผู้ชมได้รับชมแต่ของดี มีคุณภาพ ทั้งหมดนี้เป็นจุดแข็งของการลงทุนเพื่อผลักดันให้ธุรกิจ Pay TV ประสพความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอยู่ในช่วงต้นของการลงทุนบริษัทฯ จึงมีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 226 ล้านบาท บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะค่อยๆ ดีขึ้น อีกทั้งในช่วงปลายไตรมาส 1/2556 นี้ บริษัทฯได้เปิดตัวกล่องรุ่น HD เข้าสู่ตลาด ทำให้บริษัทฯ มีสินค้าครบถ้วนที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมาย นั่นคือ กล่องรุ่น Mini สำหรับผู้ที่ต้องการรับชมแค่ช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทั่วไป กล่องรุ่น Smart รุ่นยอดฮิตที่นอกจากจะสามารถรับชมช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทั่วไปแล้ว ยังสามารถรับชม Pay TV ได้ และกล่องรุ่น HD สำหรับผู้ที่ต้องการความคมชัด เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชมทุกช่องรายการ
นอกจากนี้ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ได้รวมตัวผู้ผลิตรายการทีวีชั้นนำของประเทศไทยเพื่อผลิตคอนเทนต์คุณภาพที่ทั้งสดและใหม่ให้กับช่อง ONE ตั้งเป้าให้เป็นสถานีโทรทัศน์ยอดนิยมในใจผู้ชม ภายใต้สโลแกน “ดูทุกที ดีทุกวัน” ด้วยรูปแบบรายการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ 3 รายการทีวีที่มีเรตติ้งดีที่สุดของช่อง ได้แก่ ซิทคอมเป็นต่อขั้นเทพ ที่ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 22.00 น. รายการวาไรตี้กินเที่ยว Food Prince ที่ออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 22.00 และรายการ Naked Show ที่ออกอากาศทุกวันจันทร์ — ศุกร์ เวลา 20.00 น. บริษัทฯ คาดว่าสิ้นปีนี้จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯได้อย่างน่าจับตามอง อีกทั้งบริษัทฯได้เตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัลที่จะจัดขึ้นในไตรมาสที่ 3/2556 นี้ รอเพียงแค่ประกาศจาก กสทช. บริษัทฯก็สามารถเดินหน้าธุรกิจดิจิทัลทีวีได้ในทันที
“บริษัทฯ มีแผนการพัฒนาการให้บริการในรูปแบบใหม่ๆสำหรับธุรกิจเพลงและธุรกิจดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2556 โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีแผนการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่อีกหลายรายการ เช่น พาราดอกซ์ คอนเสิร์ต ผงาดง้ำค้ำโลก ในเดือนพฤษภาคม และคอนเสิร์ตของนิว และจิ๋ว เดอะสตาร์ NJ’s Story Concert ในเดือนมิถุนายน เป็นต้น อีกทั้งละครเวทีระดับโลกอย่างเรื่อง เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า ที่จัดแสดงที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์” นางสาวบุษบากล่าว
“จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีแผนการลงทุนในปี 2556 โดยการใช้เงินทุนจากเงินสดที่มีอยู่และการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยปัจจุบัน อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 0.94 เท่า” นางสาวบุษบากล่าวสรุป