กรุงเทพฯ--17 พ.ค.--ก.ล.ต.
ธุรกิจจัดการกองทุนรวมไทยได้รับการประเมินจากนักลงทุนทั่วโลกให้อยู่ในระดับ B หรือเป็นที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ จากผลการศึกษาของ Morningstar โดยยังคงรักษามาตรฐานด้านกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและภาษี และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในด้านการขายและสื่อกลาง แต่ยังคงต้องปรับปรุงการดำเนินการบางด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเผยข้อมูลกองทุนรวม
บริษัทวิจัยการลงทุนอิสระ Morningstar ได้เปิดเผยผลการศึกษาประสบการณ์ในการลงทุนในกองทุนรวมของนักลงทุนจำนวน 24 ประเทศทั่วโลกในปี 2556 โดยไทยอยู่ในระดับ B เท่ากับเนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์และไต้หวัน และอยู่เหนือค่าเฉลี่ยของทุกประเทศที่ได้รับการศึกษา เนื่องจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน เช่น ยกเว้นภาษีส่วนต่างกำไร ให้ลดหย่อนภาษีเงินได้จากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ส่งผลให้ผลการประเมินในหมวดกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและภาษีอยู่ระดับสูงสุดเทียบกับหมวดอื่น แต่ยังต้องปรับปรุงในเรื่องข้อจำกัดของกองทุนรวมในการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และการอนุญาตให้กองทุนรวมต่างประเทศเสนอขายหน่วยลงทุนต่อผู้ลงทุนในประเทศได้โดยตรง
สำหรับหมวดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ธุรกิจกองทุนรวมไทยได้รับการประเมินสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่น เนื่องจากกองทุนรวมส่วนใหญ่ไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายหน่วยลงทุน อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตให้ปรับปรุงบางประการ
สำหรับหมวดการเปิดเผยข้อมูล ธุรกิจกองทุนรวมไทยได้รับการประเมินในระดับปานกลาง โดยในส่วนของหนังสือชี้ชวนส่วนสรุป ยังขาดข้อมูลสำคัญ คือ ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ (trading cost) ชื่อผู้จัดการกองทุน ประสบการณ์ ระยะเวลาจัดการกองทุนนั้น ๆ ผลตอบแทนที่ได้รับและข้อมูลการลงทุนในกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุนนั้น ๆ
การขายและสื่อกลางเป็นด้านที่ธุรกิจกองทุนรวมไทยได้รับผลการประเมินน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับหมวดอื่นแม้ว่าจะดีขึ้นกว่าคราวก่อน แต่ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุง เนื่องจากกองทุนรวมส่วนใหญ่ขายผ่านธนาคารพาณิชย์และผู้ลงทุนมีช่องทางในการซื้อขายหน่วยลงทุนที่จำกัด โดยมีกองทุนรวมไม่ถึง 20% ที่ขายผ่านช่องทางที่ไม่ใช่สาขาของธนาคาร นอกจากนี้ ผู้ประเมินเห็นว่าสื่อต่าง ๆ ควรเปิดเผยต้นทุนหรือช่วยส่งเสริมการลงทุนระยะยาวให้เกิดขึ้นด้วย
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ผลการวิจัยครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจจัดการกองทุนรวมไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยังคงรักษามาตรฐานการดำเนินการไว้ได้ โดยยังมีเรื่องที่พัฒนาได้อีกมาก อย่างไรก็ดี ข้อมูลตามผลวิจัยสิ้นสุดเพียงปี 2555 ในปัจจุบัน ก.ล.ต. ได้ร่วมกับภาคธุรกิจปรับปรุงหลายเรื่องตามข้อสังเกตส่วนใหญ่ในผลการวิจัยไปแล้ว ซึ่งรวมถึงการให้กองทุนรวมมี fact sheet ที่เนื้อหากระชับมีข้อมูลสำคัญและจำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุน และการเปิดให้มี fund supermart เพื่อเพิ่มช่องทางขายหน่วยลงทุน นอกเหนือจากธนาคารพาณิชย์ด้วย
ก.ล.ต. สนับสนุนและอยากเห็นธุรกิจจัดการกองทุนรวมไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลกได้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดทุนไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ในส่วนของ ก.ล.ต. ยังมีเรื่องสำคัญต้องพัฒนาต่อไปเช่นกัน ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงหลักเกณฑ์บางเรื่อง เช่น การคิดค่าธรรมเนียม และการเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจนและครบถ้วนเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ลงทุน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิเช่น การทำ MOUกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเพื่อให้ผู้ลงทุนรายย่อยลงทุนในกองทุนที่ตั้งในกลุ่มอาเซียนได้ การส่งเสริมให้มีบริการวางแผนทางการเงิน (asset allocation) เพื่อให้ผู้ลงทุนกระจายการลงทุนให้สอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง การสนับสนุนการลงทุนระยะยาวตลอดจนการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนผ่านสื่อต่าง ๆซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของผู้ลงทุนในระยะยาวต่อไป”
นายพีร์ ยงวณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า “Morningstar ศึกษาเรื่อง Global Fund Investor Experience ครั้งแรกเมื่อปี 2552 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ของนักลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมทั่วโลก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Morningstarได้หารือกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในธุรกิจกองทุนรวมอย่างต่อเนื่อง อาทิ หน่วยงานกำกับดูแล สมาคม และผู้จัดการกองทุน เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจกองทุนรวมไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ลงทุนในการประเมินครั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ Morningstar ทั่วโลกได้ร่วมกันศึกษาวิจัยธุรกิจกองทุนรวมจำนวนทั้งสิ้น 24 ประเทศ”
นายสมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า “เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยได้รับการประเมินจากผลการศึกษาประสบการณ์ในการลงทุนในกองทุนรวมของนักลงทุนจำนวน 24 ประเทศทั่วโลกอยู่ในอันดับ 3 โดยเป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้เท่านั้น ซึ่งยืนยันถึงความก้าวหน้าของธุรกิจกองทุนรวมของไทย และถือเป็นรางวัลความสำเร็จที่สำคัญของความพยายามพัฒนากฎระเบียบและการร่วมมือกันอย่างนักวิชาชีพที่ดีของสำนักงาน ก.ล.ต. และบริษัทจัดการกองทุนต่าง ๆ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ผมขอแสดงความชื่นชมกับงานศึกษาของ Morningstar ที่ทำให้เห็นแนวทางวัดคุณภาพของอุตสาหกรรมกองทุนรวมโดยมุ่งไปที่ประโยชน์แก่ผู้ลงทุน และยืนยันความมุ่งมั่นของบริษัทจัดการในการร่วมมือกับทาง ก.ล.ต. ที่จะพัฒนาธุรกิจกองทุนรวมให้ก้าวหน้าต่อไป”