กรุงเทพฯ--20 พ.ค.--IR PLUS
“ปิยะ พงษ์อัชฌา” บิ๊ก JMT คาดผลงานไตรมาส 2/56 ดีต่อเนื่อง เหตุภาพรวมสินเชื่อในตลาดมีแนวโน้มเติบโต พร้อมรุกธุรกิจรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่ม และเป็นธุรกิจที่มี Margin สูง ทั้งเป็น สัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯ อีกทั้ง ได้จัดตั้งบริษัทย่อยอีก 2 แห่ง หนุน JMT แข็งแกร่งในอนาคต มั่นใจผลงานปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโตอีก 30% จากปีก่อนได้สำเร็จ พร้อมโชว์ผลงาน ไตรมาส 1/56 ที่ไม่ธรรมดา กำไรสุทธิโตกว่า 33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด(มหาชน) หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยถึง แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2556 ว่า บริษัทฯ คาดผลประกอบการมีทิศทางเติบโตเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2555 เนื่องจากภาพรวมตลาดสินเชื่อปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโต ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้ซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารเพิ่มอีกจำนวน 1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนมีหนี้ภายใต้การบริหาร ซึ่งเป็นหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะซื้อหนี้เพิ่มในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ไตรมาสละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/2556 ที่ผ่านมาสามารถซื้อหนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลังประเมินว่าน่าจะซื้อหนี้มาบริหารได้เป็นไตรมาสละ 3,000 ล้านบาท สนับสนุนให้เป้าหมายกำไรสุทธิในปีนี้เติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 109.83ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อย 2 บริษัท เพื่อสิทธิทางกฎหมายในการดำเนินธุรกิจ และเล็งเห็นโอกาสในการเติบโต ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการหนี้สินที่ดำเนินการทางกฎหมายแล้ว ซึ่งหนี้กลุ่มนี้มีปริมาณอยู่จำนวนมาก สถาบันการเงินต่างๆ ไม่เคยนำออกมาขาย จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการเข้าไปรุกหนี้ประเภทนี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอขั้นตอนการดำเนินงานทางกฎหมาย คาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจและมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายน — กรกฎาคมนี้ สำหรับบริษัท เจเอ็มที ไอบี จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัย คาดจะมีความชัดเจนธุรกิจนี้ในปีหน้า เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการ กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยมาไม่น้อยกว่า 1 ปี ถึงเริ่มดำเนินธุรกิจได้
“เชื่อผลงานในช่วงต่อจากนี้ของ JMT จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่บริษัทฯ ได้ซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มโดยสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯ กว่า 80% มาจากธุรกิจนี้ และเป็นธุรกิจที่มี Margin สูง
อีกทั้ง ได้จัดตั้งบริษัทฯ ย่อยเพิ่มอีก 2 แห่ง โดย JMT ถือหุ้นในสัดส่วน 99% จากประโยชน์เรื่องสิทธิทางกฎหมาย และเล็งเห็นโอกาสการเติบโตในอนาคต คือ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถซื้อหนี้เข้ามาบริหารได้เพิ่มขึ้น โดยจะรุกตลาดหนี้ที่ดำเนินการทางกฎหมายแล้ว ขณะที่บริษัท เจเอ็มที ไอบี จำกัด ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัย โดยใช้ระบบ Call center ซึ่งบริษัทฯ มีระบบ Call center ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว จึงไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ ” นายปิยะ กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาส 1/2556 งบการเงินรวมบริษัทฯ มีผลกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 27.47 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีผลกำไรสำหรับงวด 20.59 ล้านบาท โดยมีกำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 6.88 ล้านบาท หรืออัตราร้อยละ 33.41 โดยมีสาเหตุมาจากบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 93.51 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 84.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10.60 โดยสาเหตุ ที่รายได้รวมเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ เนื่องจาก บริษัทฯ มีรายได้จากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นจาก 56.71 ล้านบาท เป็น 66.66 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.55 จากการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มมากขึ้น ขณะที่รายได้จากการติดตามหนี้สิ้นลดลงจาก 26.92 ล้านบาท เป็น 23.98 ล้านบาท หรือลดลง 2.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.96 เนื่องจากปริมาณงานรับจ้างติดตามหนี้ลดลง และรายได้ดอกผลตามสัญญาเช่าซื้อเพิ่มขึ้นจาก 0.92 ล้านบาท เป็น 2.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.95 ล้านบาท
“ผลงานในไตรมาสแรกที่ออกมานั้นถือว่าเป็นที่น่าพอใจ JMT มีกำไรสุทธิเติบโตกว่า 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ ซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายจะซื้อหนี้เข้ามาบริหารในไตรมาส 1/2556 เพิ่มอีกจำนวน 2 พันล้านบาท ซึ่งผลงานที่ออกมาก็เป็นไปตามนั้น ส่งผลให้เมื่อสิ้นไตรมาส 1 /2556 บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านบาทแล้วจากสิ้นปี 2555 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีพอร์ตหนี้อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท” นายปิยะ กล่าว