กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--IR network
ดร. ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยว่าตามที่มีข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ว่าจะลาออกจากการเป็นผู้บริหารของบริษัทฯ นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยปัจจุบันยังคงปฏิบัติงานที่บริษัทฯ ตามปกติ
“ต่อประเด็นการเข้าซื้อหุ้นของ บล.สินเอเชีย หากสามารถเข้าซื้อหุ้นของ บล.สินเอเซีย ได้ผมก็จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นเท่านั้น จะไม่มีการเข้าไปบริหารแต่อย่างใด โดยจะยังบริหารอยู่ที่ CGS ตามปกติ ส่วนอนาคตจะมีโครงการไปนั่งบริหารที่ บล. สินเอเซีย หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่มีแนวคิด เนื่องจากกลุ่มผู้ลงทุนอยู่ระหว่างการเจรจาขอซื้อ บล.ดังกล่าวอยู่ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน” ดร.ประสิทธิ์ กล่าวในที่สุด
นายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในกรณีที่ ดร.ประสิทธิ์ มีโอกาสก้าวหน้าไปเป็นเถ้าแก่ โดยจะถือหุ้นบางส่วนใน บล.สินเอเซีย นั้น ผมก็รู้สึกยินดีด้วยและคงไม่มีอะไรที่ทำให้ขัดแย้งกัน ส่วนการตัดสินใจออกในอนาตคของ ดร.ประสิทธิ์ นั้น อาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทฯ บ้าง แต่คงไม่เป็นสาระสำคัญเพราะในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา CGS ได้สร้างฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯไว้ ประมาณ 60,000 รายไว้ตามสาขาต่างๆประมาณ 50 สาขา และมีทีมผู้บริหารเดิมที่มีความสามารถและประสบการณที่จะ ควบคุม ดูแล สาขาต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้รวมทั้งยังมีทีมการตลาดใหม่ที่มีฐานลูกค้ามากมาเสริมทีมเดิมอีกด้วย ดังนั้นบริษัทฯจะไม่ได้รับผลกระทบมาก นอกจากนั้น บริษัทฯได้พัฒนาโครงสร้างการบริหารงานของบริษัทฯ โดยเน้นการทำงานเป็นทีมและมีระบบงานที่อยู่ตัวแล้ว ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถเดินได้ด้วยตัวมันเองอย่างยั่งยืนได้”
นายสดาวุธกล่าวเสริมว่า “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร การย้ายงานจากโบรกหนึ่งไปอีกโบรกหนึ่ง ถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจหลักทรัพย์ ดังนั้น การที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารจึงไม่นับเป็นเรื่องแปลกซึ่งบริษัทฯก็ได้เตรียมทีมงานและระบบงานเพื่อรองรับการการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว
เขากล่าวต่อในช่วงท้ายว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 2556 คาดว่ามีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ดูได้จากกำไรในไตรมาส 1/2556 โดยมีกำไรสุทธิ 263.32 ล้านบาทซึ่งเท่ากับร้อยละ 84 ของกำไรสุทธิทั้งปีในปีที่แล้ว หรือ เพิ่มขึ้น 194.73 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 284 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 68.59 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2556 บริษัทฯมีกำไรสะสมจำนวน 868.34 ล้านบาท พร้อมได้มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องมา 3ปีซ้อน
นอกจากนั้นปีนี้ยังคงเป็นปีทองของธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีการขยายตัวที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้วางเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ในอันดับ Top 3 โดยยังคงให้ความสำคัญกับงานด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การมีบริการด้านหลักทรัพย์ที่ครบวงจร ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งเน้นในเรื่องของการให้บริการลูกค้าทั้งในด้านของงานวิจัยหลักทรัพย์ และการพัฒนางานด้านระบบไอทีให้มีความรวดเร็วและทันสมัย