กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--ล็อกซเล่ย์
นายสุพัฒน์ กรชาลกุล กรรมการบริหารและ CFO กลุ่มล็อกซเล่ย์ เปิดเผยตัวเลขรายได้ไตรมาสแรกของปี 2556 ที่ 3,817 ล้านบาท ซึ่งโตขึ้นกว่า 300 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยโครงสร้างรายได้ประกอบด้วย สายงานธุรกิจโครงการ 67% สายงานธุรกิจการค้า 27% และสายงานธุรกิจบริการ 6% ในส่วนของธุรกิจร่วมทุน รายได้และผลกำไรโดยรวมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบโลหะผสมระหว่างอลูมิเนียมกับสังกะสีและกลุ่มน้ำมันหล่อลื่น โดยมีรายรับรวม 6,028 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 783 ล้านบาท บริษัทบันทึกกำไรตามวิธีส่วนได้เสียในไตรมาส 1 ที่ 238 ล้านบาท โตขึ้น 52%
อนึ่งในไตรมาสแรกปีนี้บริษัทบันทึกกำไรพิเศษจำนวน 180 ล้านบาท จากการขายเงินลงทุนในกลุ่มบลูสโคป 5% ให้กับพันธมิตรบริษัทร่วมทุนกลุ่มบลูสโคปสตีล กับกลุ่มนิปปอนสตีล แอนด์ ซูมิโตโมเม็ตตัล คอร์ปอร์เรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีศักยภาพทั้งการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่และตลาดใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทร่วมนี้มีศักยภาพที่สูงทั้งรายได้และกำไรในอนาคต
จากปัจจัยข้างต้น กลุ่มล็อกซเล่ย์มีกำไรสุทธิ 380 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 130% จากกำไรในงวดเดียวกันของปีก่อน งานในมือกว่า 8,400 ล้านบาท ไตรมาสแรกของปี 2556คว้างานใหม่ 3,000 ล้านบาท
นายสุพัฒน์กล่าวต่อว่า จากงานในมือยกมาและงานใหม่ที่ได้เพิ่มขึ้น ณ ปัจจุบัน ล็อกซเล่ย์มีงานในมือกว่า 8,400 ล้านบาท งานที่สำคัญได้แก่ งานด้านโทรคมนาคม 2,492 ล้านบาท งานระบบพลังงานไฟฟ้า 2,245 ล้านบาท งานไอซีที 1,803 ล้านบาท งานกลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและระบบขนส่ง 1,363 ล้านบาท และงานอื่นๆ อีกประมาณ 532 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 70% ของงานจะสามารถรับรู้รายได้ได้ภายในปีนี้
ในช่วง 4 เดือนแรก บริษัทสามารถสร้างงานในมือให้โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล็อกซเล่ย์ได้งานใหม่ ประมาณ 3,000 ล้านบาท งานที่สำคัญได้แก่ งานด้านไอซีที 1,219 ล้านบาท งานระบบพลังงาน 569 ล้านบาท งานระบบขนส่ง 527 ล้านบาท และงานเพาเวอร์อินฟรา 526 ล้านบาท
อนึ่ง ในต้นเดือนพฤษภาคม บริษัทได้เข้าร่วมประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทใน 2 แผนงานคือ โมดูลเอ 6 และบี 4 ระบบคลังข้อมูลเพื่อการพยากรณ์และเตือนภัย รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งมีมูลค่าทั้งสิ้นรวม 4,000 ล้านบาท
ภาพรวมปี 2556 โตทั้งรายได้และกำไร
นายสุพัฒน์สรุปถึงภาพรวมปี 2556 ล็อกซเล่ย์จะยังคงโตอย่างต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร โดยทั้ง 4 ธุรกิจหลักมีการปรับตัวที่ดีขึ้นซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรรายไตรมาสมีความผันผวนลดลง จากงานในมือที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากธุรกิจร่วมทุนที่จะเป็นตัวเพิ่มกำไร