กรุงเทพฯ--28 พ.ค.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานสหกรณ์โคนมสันกำแพง (ป่าตึงห้วยหม้อ) จำกัด จังหวัดเชียงใหม่ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสหกรณ์ และอาชีพการเลี้ยงโคนมมาโดยตลอด อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลได้ถือเอางานของสหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งการเปิดอาคารสำนักงานสหกรณ์โคนมฯ ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานต่างๆ ให้เป็นประโยชน์แก่สมาชิก ซึ่งสหกรณ์โคนมสันกำแพง (ป่าตึงห้วยหม้อ) จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2530 และมีความเจริญก้าวหน้า ประสบผลสำเร็จเป็นองค์กรที่พึ่งของมวลสมาชิกมาโดยตลอด โดยได้มีการรวมกลุ่มจัดตั้งกลุ่มผู้เลี้ยงโคนม โดยใช้ชื่อว่า “โครงการลดและเลิกตัดไม้ทำลายป่าของราษฎร” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กลุ่มผู้เลี้ยงโคนมบ้านป่าตึงห้วยหม้อ” มีสมาชิกร่วมจัดตั้งจำนวน 25 รายในขณะนั้น และเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2535 ได้รับการจดทะเบียนเป็น สหกรณ์โคนมบ้านป่าตึงห้วยหม้อ จำกัด ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 ประเภทสหกรณ์การเกษตร มีท้องที่ดำเนินงาน อำเภอสันกำแพง อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน และในปี พ.ศ. 2555 คณะกรรมการดำเนินงานสหกรณ์ ในชุดปัจจุบัน ได้ขอมติที่ประชุมใหญ่เปลี่ยนแปลงชื่อ เป็น “สหกรณ์โคนมสันกำแพง (ป่าตึงห้วยหม้อ) จำกัด
โดยปัจจุบัน สหกรณ์ มีสมาชิกจำนวน 117 ครัวเรือน มีคณะกรรมการ จำนวน 11 คน เจ้าหน้าที่ จำนวน 13 คน มีประชากรโค จำนวน 2,622 ตัว ซึ่งเป็นโคนมพันธุ์ที่เลี้ยงเป็นโคนมพันธุ์โฮลสไตน์ฟรีเชียน รวบรวมน้ำนมดิบจากสมาชิกได้วันละ 12 ตัน โดยมีทุนดำเนินงาน 34,440,522 บาท
“ สหกรณ์แห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้นและมีความเจริญก้าวหน้า ประสบผลสำเร็จเป็นองค์กรที่พึ่งของมวลสมาชิกมาโดยตลอด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของขบวนการสหกรณ์ในประเทศไทย ทั้งระบบ ว่ามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคม ทั้งอดีต ปัจจุบันและจะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากสหกรณ์ดำเนินงานโดยหลักประชาธิปไตย เป็นของสมาชิก โดยสมาชิกและเพื่อสมาชิก ซึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้สหกรณ์เจริญก้าวหน้าตามลำดับมาโดยตลอด ก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจของสมาชิก โดยเฉพาะความช่วยเหลือของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่เพื่อเป็นการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานด้านต่าง ๆ สำหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่จะมีขึ้น เช่น AEC สหกรณ์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอรับการช่วยเหลือเกี่ยวกับปัจจัยที่จำเป็นอีกหลายด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สมาชิกต่อไป” นายยุทธพงศ์กล่าว