กรุงเทพฯ--30 พ.ค.--MMM Digital Asset
เป็นเวลาสองปีแล้วที่ฟิล (แบรดลีย์ คูเปอร์), สตู (เอ็ด เฮล์มส) และดั๊ก (จัสติน บาร์ธ่า) ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความสุขที่บ้าน รอยสักก็ทำเลเซอร์ลบแล้ว เรื่องราวต่างๆ ก็เคลียร์หมด ครั้งสุดท้ายที่ได้ข่าวจากตัวดูดความซวย เลสลี่ เฉา (เค็น จุง) คือเขาติดคุกที่เมืองไทย พวกเขาแทบจะลืมเรื่องวุ่นวายในช่วงค่ำคืนที่ลาสเวกัส การถูกลักพาตัว โดนยิง และถูกแก๊งค์ค้ายาในกรุงเทพไล่ตามตัว
สมาชิกคนเดียวของแก๊งค์หมาป่าที่ยังหาจุดยืนไม่ได้คือ อลัน (แซ็ค แกลิเฟียนาคิส) ที่ยังไร้จุดหมาย แกะดำของกลุ่มตัวนี้ทิ้งการรักษาเยียวยา และพบแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ จากอลันการไร้จุดหมาย เลื่อนลอย ไร้การตัดสินใจ เขาต้องพบกับปัญหาส่วนตัวและได้รับความช่วยเหลือในที่สุด
ซึ่งจะมีใครดีไกว่าเพื่อนสนิทของเขาทั้ง 3 ที่มาสร้างความมั่นใจว่าเขาจะเดินผ่านก้าวแรกไปได้ ในภาคนี้ไม่มีทั้งงานเลี้ยงสละโสด งานแต่งงาน แล้วจะมีอะไรผิดพลาดได้อีก? แต่เมื่อแก๊งค์หมาป่ามารวมตัวกันถึงที่ คงไม่ต้องพนันอะไรกันเลย
ภาพยนตร์เรื่อง The Hangover ภาค 3 เป็นมหากาพย์แห่งบทสรุปของสุดยอดการผจญภัยสุดวุ่นวาย และการตัดสินใจผิดพลาด พวกเขาต้องสะสางเรื่องที่เคยค้างคาไว้ด้วยการกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดอย่างลาสเวกัส
ไม่ว่ายังไง...ทุกอย่างต้องจบลงตรงนี้
ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 3” ผลงานจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส สู่ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์คอมเมดี้ไตรภาคที่ทำลายสถิติมาแล้วของผู้กำกับฯ ทอดด์ ฟิลลิปส์
ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 3” เป็นการกลับมารวมตัวกันของเหล่านักแสดงแบรดลีย์ คูเปอร์, เอ็ด เฮล์มส, แซ็ค แกลิเฟียนาคิส และ จัสติน บาร์ธ่า ผู้มารับบทแสดงเป็นฟิล, สตู, อลัน และ ดั๊ก นักแสดงที่กลับมาร่วมงานยังมี เค็น จุง ผู้รับบท เลสลี่ เฉา, ฮีทเธอร์ กราแฮม ผู้รับบท เจด ภรรยาคนแรกของสตู และ เจฟฟรีย์ แทมเบอร์ ผู้รับบท ซิด พ่อของอลัน โดยมี จอห์น กู้ดแมน มาร่วมแสดงเป็นครั้งแรกในบท มาร์แชล ฝันร้ายครั้งใหม่ของแก๊งค์
ทอดด์ ฟิลลิปส์กำกับภาพยนตร์จากบทที่เขาเขียนร่วมกับเครก มาซิน ที่เคยร่วมงานกันในบทภาพยนตร์ของเรื่อง “The Hangover ภาค 2” ฟิลลิปส์อำนวยการสร้างฯ ร่วมกับแดน โกลด์เบิร์ก อำนวยการสร้างบริหารโดย โธมัส ทัล, สก็อตต์ บัดนิค, คริส เบ็นเดอร์ และ เจ.ซี.สไปค์ ทีมงานสร้างสรรค์จาก 2 ภาคแรกที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ผู้กลับมาร่วมงานกับฟิลลิปส์อีกครั้ง ได้แก่ ผู้กำกับภาพ ลอว์เรนซ์ เชอร์ ผู้ลำดับภาพ เดบร้า นีล-ฟิสเชอร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย หลุยส์ มิงเกนบาค พวกเขาได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบฉาก มาเฮอร์ อาห์เม็ด(“Gangster Squad”) และผู้ลำดับภาพ เจฟฟ์ กร็อธ (“Project X”) ประพันธ์ดนตรีโดย คริสโตเฟอร์ เบ็ค ผู้ประพันธ์ดนตรีในเรื่อง “The Hangover” และ “The Hangover ภาค 2”
นำเสนอภาพยนตร์โดย วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ในความร่วมมือกับเลเจนดารี่ พิกเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องโดย a Green Hat Films Production ของผู้กำกับ ทอดด์ ฟิลลิปส์ เรื่อง “The Hangover ภาค 3" มีกำหนดเปิดตัว 23 พฤษภาคม 2013 จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์
www.hangoverpart3.co.uk
รายละเอียดการสร้าง
ว่าแต่.. อลันล่ะ?
“เราผูกติดอยู่กับเขา เราต้องใช้เวลาที่เหลือ
ทั้งชีวิตอยู่กับเขา เพราะตอนนี้เขาเหลือแค่เรา
นึกภาพออกใช่มั้ย? นี่ล่ะที่เราเจอ” — สตู
เมื่อปี 2009 ผู้เขียน/ผู้กำกับ ทอดด์ ฟิลลิปส์ จัดงานเลี้ยงสละโสดที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อนขึ้นมา และเชิญผู้คนทั่วโลกมาร่วมประสบการณ์ไปพร้อมกับแก๊งค์หมาป่าที่รู้จักกันทั่วโลกไปแล้วตอนนี้ ในปี 2011 เขาเดิมพันสูงขึ้นด้วยการพาเราไปดูว่าพวกเขาจะป่วนโดยไม่มีอะไรผิดพลาดได้แค่ไหน
คำถามและคำตอบง่ายๆ แต่แฝงด้วยหายนะคือ จะมีอะไรพลาดตรงไหน? ทั้งในเรื่อง “The Hangover” และ “The Hangover ภาค 2” ไม่ได้ทำลายสถิติในท้องที่และบ็อกซ์ออฟฟิศนับล้านทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังถูกจารึกไว้บนกระแสความฮิตอีกด้วย คำพูดของเฉาที่ยังคงติดปาก และแฟนๆ ที่บัลติมอร์ไปจนถึงบอสเนีย ผู้มาเยี่ยมเยือนเคาน์เตอร์ด้านหน้าของซีซาร์พาเลสในลาสเวกัสในทุกวัน ไปจนถึงการก่อปัญหาด้วยการขอ “ห้องสวีทของเดอะ แฮงค์โอเวอร์” หรือคำถามไร้สมองของอลันว่า “พระราชวังซีซาร์ของจริงหรอเนี่ย?”
ภาคนี้ “เราจะได้พบกับบทสรุปแห่งมหากาพย์ที่แท้จริง” ฟิลลิปส์เล่าถึงเรื่องราวที่ฟิล สตู อลัน ดั๊ก และเพื่อนร่วมความซวยอย่าง เฉา ที่ชายฝั่งทางตอนใต้ และกลับไปสู่ฉากเดิมของบทสรุปแห่งตำนานความแสบในลาสเวกัสที่เรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก
สิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะเกิดขึ้นในลาสเวกัสเป็นเพียงครึ่งเดียว ซึ่งเรื่องราวที่จะได้พบเป็นสิ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์เชื่อว่าจะต้องสร้างเซอร์ไพรส์ให้ผู้ชมได้มากพอกับที่เซอร์ไพรส์พวกเขา “มีฉากแอ็คชั่นและคอมเมดี้หลายฉาก มีการโจรกรรม โรดทริปและความลึกลับ เมื่อเราได้สัมผัสกับสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน แต่เรามีการแฝงกลิ่นอายของสองภาคแรกไว้ตลอด” ฟิลลิปส์กล่าวต่อว่า “มีการผสมผสานทุกเรื่องราวและเกิดเป็นจุดจบที่เป็นไปตามหลัก”
ผู้เขียนบทฯ เครก มาซิน ร่วมงานกับฟิลลิปครั้งแรกในบทภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” เล่าให้ฟังว่าพวกเขาทวนการเดินทางสองภาคก่อนตามแนวอย่างไร “เรามีอะไรหลายอย่างที่ยังสะสางไม่จบในหนังทั้งสามภาค สำหรับเรื่องราวตอนสุดท้ายที่ไม่ได้จบแค่ในภาคอย่างเดียว แต่เป็นจุดจบทั้งสามภาค มีบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงเริ่มแรก มีประเด็นเรื่องที่สำคัญ 2-3 อย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะตามหลอนพวกเขา และพาพวกเขาไปสู่การเดินทางสุดท้าทายที่วุ่นวายมากที่สุดสำหรับพวกเขา”
การออกแบบเป็นเรื่องที่ต้องทำการค้นคว้ามากกว่าแต่ก่อน “The Hangover ภาค 3” พลิกรูปแบบเหตุการณ์ในตอนเช้าของภาคก่อน แต่ยังมอบความฮาและฉากชุลมุนทำให้ผู้ชมต้องนั่งติดตรงขอบเบาะไว้เช่นเคย
ก่อนที่ความทรงจำจะเลือนหายไป ในภาคสุดท้ายมีจุดยืนเรื่องราวที่ชัดเจนและให้ความสนใจอย่างเต็มที่ ในภาคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการเมาค้างเป็นพิเศษ แต่มีการหวนกลับไปหาบรรยากาศเก่า ซึ่งเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมดที่มีอลันเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวเมื่อ 6 ปีก่อนอย่างที่พวกเขาคาดไม่ถึง
แบรดลีย์ คูเปอร์ กลับมารับบท ฟิล ครูสอนภาษาอังกฤษในไฮสคูลและหัวหน้าแก๊งค์อย่างไม่เป็นทางการ เขาเล่าว่า “มีเรื่องราวจุกจิกที่เราสังเกตจากภาคแรกที่กลายเป็นประเด็นสำคัญกว่าเรื่องไหน ผมขอพูดในฐานะของแฟนคนหนึ่งที่ดูหนังพวกนี้ องค์ประกอบที่ดีที่สุดและฮาสุดอยู่ที่การผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน”
ในภาค 3 หนีไม่พ้นเรื่องวุ่นๆ และมุกตลกที่กระแทกใจมากขึ้น ฟิลลิปส์รู้สึกว่า “สำหรับเรามันเริ่มจากเรื่องแย่ๆ เสมอ เพราะมันเพิ่มความฮาให้เรื่องราว บวกกับความสนุกที่ดูสมจริงยิ่งขึ้นเมื่อเราพาพวกเขาไปอยู่ในสถานการณ์แย่ๆ และเพิ่มความเครียดเข้าไป โดยทั่วไปคือสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ความสนุกคือการได้เห็นพวกเขาดิ้นรนเอาตัวรอดและเดินทางผ่านพ้นเรื่องราวไปให้ได้”
“ทอดด์คือหัวหน้าของเรา เราตามเขาไปสู่การต่อสู้” เอ็ด เฮล์มส กลับมารับบท สตู ทันตแพทย์ผู้วิตกจริต “ณ จุดนี้พูดได้อย่างปลอดภัยว่าเหล่าตัวละครผ่านเรื่องร้ายๆ และหวนกลับมาแล้ว…แต่มาในมาดดี มีแผลเป็นฝังใจอยู่บ้าง สำหรับสตูคือเรื่องรอยสักที่น่าสลด ฟันของเขาที่ไม่ตั้งใจให้หายไปตลอดกาล แต่ผมชอบเรื่องราวและตัวละครเหล่านี้ ผมตื่นเต้นตอนที่ได้อ่านบทของเรื่อง ‘The Hangover ภาค 3’ ได้เห็นว่ามีอะไรรอพวกเขาอยู่ ผมพลิกบทไปพลางคิดว่า ‘ไม่จริงอะ ล้อกันเล่นใช่มั้ย? มันมาจากไหนกัน?’”
ในทำนองเดียวกันผู้ชมรู้จักตัวละครเหล่านี้ดีพอที่จะตามพวกเขาสู่ทุกสถานการณ์ และวางใจได้ว่าพวกเขาจะคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัด หรือใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ “ขอย้ำว่าความสนุกที่อยู่ในหนังเรื่องนี้มันเหลือเชื่อมาก” เค็น จุง ผู้กลับมารับบท เฉา ผู้โชคร้ายที่น่ารักเล่าว่า “ในภาคนี้จะตอบคำถามทุกอย่าง คุณอยากรู้ใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉา? คุณจะพบคำตอบนั้นอย่างรวดเร็วและในแบบที่น่าตื่นเต้น”
เวลาเดียวกันสิ่งที่ทำให้ “The Hangover ภาค 3” เป็นตอนจบที่น่าพอใจของเรื่องวุ่นๆ ทั้งหมด คือการรับมือกับสมาชิกคนหนึ่งที่ทำตัวไม่รู้จักโตหรือไม่ดูตัวเอง ซึ่งดูภายนอกเหมือนเขาจะผ่านความบอบช้ำ เรื่องดราม่า และประสบการณ์เฉียดตายมา แต่กลับไม่เคยจดจำอะไรและไม่มีวันเปลี่ยน
หรือเรียกได้ว่า…”ภาคนี้คือเรื่องราวของอลัน” ฟิลลิปส์กล่าว
“มันเป็นเรื่องกล้ำกลืนที่รู้ว่าหลังจากนี้ผมจะไม่ได้มารับบทอลันอีกแล้ว มันเป็นการทำงานที่สนุกดีนะ” แซ็ค แกลิเฟียนาคิส เล่าว่าโดยส่วนตัวแล้วบทนั้นได้รับความสนใจจากทั่วโลก และมีอิทธิพลต่อชีวิตและอาชีพของเขามาก
เป็นที่รู้ว่า “ผู้ชมไม่ได้มาดูหนังพวกนี้เพื่อเนื้อหาสาระ แต่อยากหัวเราะและสนุกสนานกับหนัง” มาซิน กล่าวเสริมว่า “ผมว่าพอเราให้ความสนใจก็ยิ่งฮามากขึ้น ทอดด์กับผมให้ความสนใจตัวละครเหล่านี้มาก เราอยากให้ตอนจบดูมีความหมาย ซึ่งความหมายนั้นต้องพึ่งอลัน”
ฉะนั้นในเรื่อง “The Hangover ภาค 3” จึงพาอลันสู่การเดินทางที่เขาต้องการเป็นพิเศษ ซึ่งเกิดขึ้นไปพร้อมกับเหตุการณ์หลักของเรื่อง “ผมเบื่อการบอกให้เขาโต เพราะผมไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้อย่างไร แต่มีบางอย่างในตัวเขาที่เริ่มเปลี่ยนไปลึกๆ” แดน โกลด์เบิร์ก ผู้ร่วมการสร้างคนเก่าแก่ของฟิลลิปส์กล่าว
“หนังเรื่องนี้ทำให้เราได้ความสนุกสนานจากมุมมองด้านลึกของตัวละคร” โกลด์เบิร์กเล่าต่อว่า “เรามั่นใจกับอะไรเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผลไม่ได้ เช่นเดียวกับทั้งตัวละครหรือเรื่องราว อลันสร้างเสียงหัวเราะให้เราได้มาก ไม่เว้นแม้แต่หนังเรื่องนี้ แต่มันมาถึงช่วงที่เราคิดว่าเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าเขาเป็นเพื่อนคุณล่ะ? องค์ประกอบหนึ่งที่ไปได้สวยในหนังพวกนี้คือ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ยังสัมผัสถึงมิตรภาพได้เสมอ คุณจะเชื่อว่าพวกเขาใส่ใจกันจริงๆ จนในที่สุดมีคำถามขึ้นว่า พวกเขาปล่อยให้คนใดคนหนึ่งทำร้ายตัวเองได้อย่างไร?”
ฟิลลิปส์เห็นด้วยและกล่าวย้ำว่า สีสันของแก๊งค์หมาป่าคือหัวใจสำคัญเสมอ “ตั้งแต่แรกเริ่มผมคิดว่าหนังพวกนี้ไปได้สวยเพราะตัวละครและการคัดเลือกตัวนักแสดง หากเราบอกว่าเป็นเรื่องของอลันทั้งสามตอนมันคงจะเป็นไปไม่ได้ มันก็จะซ้ำแนวเดิม นักแสดงเหล่านี้ไม่ได้มีความสนุกในแบบฉบับของตัวเองเท่านั้น แต่ทุกคนมีมาจากต่างที่ทำให้เกิดเคมีเข้ากันเป็นพิเศษ
“เวลาคุณดูหนังจะจดจำลักษณะตัวละครได้” เขาเล่าต่อว่า “ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่เห็นทุกอย่างผ่านทางสายตาของสตู เพราะเขาดูเป็นคนที่มีความปกติมากสุด ผู้ชมดูด้วยความมั่นใจผ่านสายตาของฟิลและบางคน พวกเขาจะเกิดความวุ่นวาย หากมองทุกอย่างผ่านสายตาของอลัน แต่ท้ายที่สุดพวกเขาคือแก๊งค์ที่เป็นที่ยอมรับ และนั่นเป็นบทพิสูจน์ของนักแสดง นอกเหนือจากมุกตลกและพล็อตเรื่อง ไม่ว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นมาที่ไหน หรือจะทำการขโมยอย่างไร้สติเพื่อให้รอดพ้นจากปัญหา ผมว่าทุกคนจะมีความสุขที่ได้กลับมาอยู่กับพวกเขา และร่วมทางกันไปเป็นครั้งสุดท้าย”
เอาล่ะ นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
“…แล้วทุกอย่างก็ดูสิ้นหวัง” — เฉา
อลันไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ อันที่จริงเขาไม่ได้ทำอะไรมากมาย และครอบครัวของเขาก็น่าเป็นห่วงมากด้วย “พวกหนุ่มๆ นำทีมโดย ดั๊ก ซึ่งเป็นพี่เขยและเพื่อนของเขาแสดงออกเลยว่าหวังจะช่วยให้เขามีความสบาย ให้เขาได้รับความช่วยเหลือและทำชีวิตของเขาให้ลงล็อค” ฟิลลิปส์เล่าว่า “รู้ว่าเขาทำอะไรคนเดียวไม่ได้ ดั๊กเลยต้องขอแรงจากฟิลและสตู จึงถือเป็นการช่วยอลันที่พากันไปทั้งสี่คน”
โดยปกติแล้วอลันจะคอยเป็นตัวขัดขวาง แต่สุดท้ายเขาก็อดใจร่วมโรดทริปกับเพื่อนทั้งสามของเขาไม่ไหว
“ว่ากันว่าอลันพบวิกฤติวัยกลางคน เพราะเขาไม่ทันเตรียมใจมาก่อน” แกลิเฟียนาคิสยอมรับว่า “เขาไม่รู้ตัวเลย ผมเดาว่ามันเป็นวิกฤติตามวัย แต่มันยากที่จะมีวุฒิภาวะเมื่อเราอายุเกิน 40 ปีแล้ว”
ทั้งสี่คนไม่รู้มาก่อนว่าอลันห่างการรักษาอาการทางจิตมานานเกินกำหนดแล้ว และขณะเดียวกันก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในอีกฟากหนึ่งของโลก นั่นคือเลสลี่ เฉา แหกคุกในแบบ “สไตล์เฉา” เขาเหมือนกับปีศาจยักษ์ในตะเกียงที่เพิ่งหลุดออกมา เขาไม่รีรอที่จะปลุกความหายนะให้กับคนใกล้ตัว ซึ่งไม่มีใครสนิทกับเขาเท่าอลัน
เฮล์มสเล่าถึงผลที่ตามมาว่า “จากท่าทางที่ดูใจดีมีเมตตา กลับสร้างความโกลาหลและหายนะได้อย่างรวดเร็ว”
ฟิลลิปส์ยังคงยืนยันว่า “หากไปคุยกับคนที่รักหนังเรื่องนี้ พวกเขาจะพูดเสมอว่าอยากมีเพื่อนอย่างอลัน ซึ่งคล้ายกับตัวแซ็คมาก เขามีความอ่อนหวานอยู่ภายใต้แววตา เขาพูดและทำอะไรได้หลายอย่างจนคุณจะคิดว่า ‘เขาไม่ตั้งใจสักหน่อย’ เขาเลยรอดจากทุกเรื่อง ทุกคนรักอลันในความใสซื่อ ความใจกว้าง และการทำตัวมีความสุขโดยไม่กังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าเขาจะชอบออกนอกลู่นอกทางและสร้างความวุ่นวายเสมอ”
มิตรภาพที่ไม่ลงรอยกันระหว่างอลันและเฉาทวีคูณเพิ่มขึ้นตามเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่มีสมาชิกในแก๊งค์หมาป่าคนไหนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ “เห็นชัดเจนว่าเฉาก่อวีรกรรมไว้ในหนังภาคแรกที่ทำให้เป็นคู่แค้นคู่อาฆาต เขายังมาร่วมสร้างความป่วนอีกในภาคสอง และเรื่องราวทั้งหมดย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้งในภาคนี้ รวมถึงอลัน ฟิล สตูและดั๊กด้วย” โกลเบิร์กเกริ่นล่วงหน้า
เป็นอีกครั้งที่ฟิลหมดความอดทนเป็นคนแรก แต่เมื่อติดร่างแหไปด้วยแล้ว เขากลับเป็นคนสุดท้ายที่จะยอมถอยทัพ บางคนมองจากบุคลิกที่โดดเด่นว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งคูเปอร์ไม่เห็นด้วยเลย “หากฟิลเป็นตัวแทนของเหตุผล มันจะสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตของพวกเขา” เขาแนะนำ “ผมคิดว่ามุมมองในชีวิตของฟิลมีความประหลาดอยู่ในตัว เขาทำตัวมีคุณธรรมสูงส่งได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีมุมพิเศษลับเฉพาะตัว เขาคุมจังหวะชีวิตของตัวเอง ดูผิวเผินแล้วเหมือนเขามีเหตุผล แต่จริงๆ แล้วเขาพร้อมจะทำเรื่องบ้าๆ เพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย”
สตูคือคนที่มีเหตุผลมากที่สุดในกลุ่ม แต่เมื่อเหตุผลของเขามักมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องและความตื่นเต้นมากเกินไปจึงยากที่จะได้ยิน เขามีความซื่อสัตย์และความตั้งใจดี ฉากการก่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างไม่เตรียมตัวไม่ใช่แนวถนัดของเขาเท่านั้น ไม่มีวันและไม่มีทางเกิดขึ้น
“สตูแต่งงานกับสาวสวยผู้เจนโลกในเรื่อง ‘The Hangover ภาค 2’” เฮล์มสกล่าว “และถือเป็นแบบฉบับเมื่อผู้ชายสไตล์เขาแต่งงานกับหญิงที่มีชั้นเชิงเหนือกว่า ถือเป็นการยกระดับความเสี่ยงขึ้นโดยอัตโนมัติ สตูที่เราเจอครั้งแรกในเรื่อง ‘Hangover ภาค 3’ จะดูเท่ห์ขึ้นมาอีกนิด มีสไตล์ขึ้นอีกหน่อย แต่ทุกสิ่งล้วนไม่จีรัง ในช่วงเวลาที่เกิดความโกลาหล สตูก็กลับเป็นคนเดิมที่เนิร์ดแบบอภิมหาเนิร์ดตัวจริง”
ถ้าเฉาคือตัวการให้เกิดความหายนะ ฟิลและสตูก็เหมือนผู้คอยตามแก้ปัญหา และหากอลันเหมือนตัวแปรที่กำหนดความผิดพลาดและหายนะในทุกย่างก้าว… ดั๊กผู้น่าสงสารคงได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน
“ใช่ครับ ดั๊กซวยอีกแล้ว” จัสติน บาร์ธ่า ยืนยันเชิงเหน็บแนมบทบาทที่เขาต้องถูกหลอกและถูกยัดใส่เบาะหลังรถตู้อยู่บ่อยๆ ว่า “พวกเขารู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าจะพาตัวกลับมาได้อย่างไร ผมคิดว่าหากนี่ไม่ใช่หนังภาคสุดท้าย มันก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนจะได้เห็นดั๊กติดสอยห้อยตามเหล่าแก๊งค์นี้อยู่ดี ผมว่าเขาคงต้องหัวเสียเมื่อรับโทรศัพท์จากพวกเขาครั้งต่อไป เพราะพวกเขาสร้างปัญหาให้มามากพอแล้ว”
โกลด์เบิร์กพิจารณาอย่างมีเหตุผลว่า “ส่วนใหญ่เขาจะเจอแบบนั้น ช่างน่าสงสาร พวกเรารักดั๊กนะ แต่เขาต้องถูกลักพาตัว หลงทาง ไม่ก็ติดอยู่บนหลังคา”
ในทำนองเดียวกัน เลสลี่ เฉา พยายามสร้างความป่วนให้มากยิ่งขึ้น เค็น จุง มารับบท เฉา ครั้งแรกในเรื่อง “The Hangover” และการแสดงอย่างไม่มีกั๊กของเขาช่วยพัฒนาบทตัวประกอบให้เป็นบทที่มีความสำคัญ และสร้างความสนุกให้แฟนๆ ทั่วโลกได้
จุงเล่าว่า “เฉาเหมือนประทัดขนาดพกพาที่ระเบิดตัวสร้างความวุ่นวายได้ทุกพื้นที่ เราไม่รู้เลยว่าเขามีความกลัวอยู่ในใจบ้างหรือเปล่า เพราะความอ่อนแอเพียงน้อยนิดที่เขาแสดงออกให้เห็นอาจเป็นจุดลวงคุณได้ ในหนังเรื่องนี้เราเห็นเขาครั้งแรกในสภาพที่ยอมประนีประนอม ซึ่งเขาอาจจะเหมือนกับอลันที่สุดท้ายต้องได้รับผลจากการกระทำ หรือเฉาอาจไม่รับรู้อะไรเลย”
“อย่าถ่อมตัวกับเรื่องนั้นจนเกินไปเลย หากมองในเชิงนิยายกรีกที่มีมนุษย์กับเทพเจ้า จริงๆ แล้วเทพก็ไม่ได้เมตตาเราเสมอไป” มาซินกล่าว “บางครั้งเทพก็โหดร้าย ใส่ความเป็นตัวเองลงไปในชีวิตมนุษย์ เทพคือผู้เป็นอมตะเราจะไปทำลายไม่ได้อยู่แล้ว เราหยุดยั้งเทพไม่ได้ ท่านจะทำทุกสิ่งตามประสงค์ มอบความวุ่นวายให้กับทุกคน นั่นแหละคือเฉา เขาเหมือนกองกำลังจากธรรมชาติ เทพเจ้าแห่งการป่วนเมือง”
แต่ความวุ่นวายของแก๊งค์หมาป่าคราวนี้หนักหนากว่าเฉา ในภาคนี้ตัวจุดชนวนลางร้ายคือคนที่ดูเหมือนผู้นำแคมป์ จอห์น กู้ดแมน มารับบท มาร์แชล ตัวละครร้ายจอมหัวเสียที่พาพวกเขาสู่ภารกิจที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นตัวการก่อความเสียหาย โดยผลลัพธ์ที่ได้จะเลวร้ายมากหากพวกเขาพลาดขึ้นมา
“ทำใจให้ไม่รักจอห์น กู้ดแมนได้ยาก” ฟิลลิปส์กล่าว “เขาเป็นคนเก่งมาก เขาแสดงบทกล้าหาญ ดูจริงจัง งี่เง่าสุดๆ หรือรวมกันทั้งสองบทบาทได้”
“มาร์แชลคือตัวบงการเบื้องหลังทุกอย่าง ตัวการสำคัญเลยทีเดียว” กู้ดแมนอธิบายว่า “เราไม่รู้เรื่องเขามากนัก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เว้นแต่เขาจะชอบกระโดดเวลาที่ดีดนิ้วและพวกเขาจะทำในสิ่งที่เขาสั่ง เขาค่อนข้างน่ากลัว เขาแต่งตัวเหมือนของเล่นกำมะหยี่ ผ้ากำมะหยี่เยอะๆ เขาดูสบาย เหมือนจะเอามากอดและแนบอิงได้…และฆ่าคนได้ด้วย”
นอกจากการแนะนำกู้ดแมนให้มารวมตัวในเรื่อง “The Hangover ภาค 3” แล้ว ยังมีการกลับไปรำลึกถึงคนที่คุ้นหน้าอย่าง เจฟฟรีย์ แทมเบอร์ แฮงค์โอเวอร์รุ่นเดอะ ผู้รับบท ซิด คุณพ่อที่รักของอลัน ผู้ทำให้เกิดการเดินทางครั้งที่สามนี้ขึ้นมาในหนังอย่างคาดไม่ถึง และฮีเธอร์ กราแฮม ผู้รับบท เจด อดีตนักเต้นระบำในเวกัสที่ครั้งหนึ่งเคยแต่งงานกับสตูช่วงเวลาสั้นๆ
เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เจอเรื่องดีๆ จากที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแก๊งค์หมาป่า ชีวิตของเจดดีขึ้นเมื่อพวกเขาสร้างความป่วนในเมืองเป็นครั้งแรก กราแฮมเล่าว่า “ผมเหมือนกับแฟนๆ หลายคนที่คิดว่าเจดน่าจะลงเอยกับสตู แต่ถึงแม้เรื่องราวจะเปลี่ยนไป ผมก็พูดได้อย่างเต็มปากว่าเธอมีความสุข ผมอยากให้เธอลงเอยอย่างสวยงาม เราทุกคนหวังเช่นนั้น เจดเลิกเต้นระบำ ได้แต่งงาน และเป็นคุณแม่อยู่แถบชานเมือง ไม่ยากที่จะเชื่อเลยว่าการได้รู้จักกับผู้ชายน่ารักอย่างสตูในช่วงเวลาสั้นๆ ถือเป็นบันไดขั้นแรกของเธอสู่จุดนั้น”
แน่นอนว่าเจดกับไทเลอร์ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ผู้ชมต้องจดจำเด็กทารกผู้น่ารัก ซึ่งตอนนี้อายุ 4 ขวบที่ฟิล อลันและสตูพบที่ห้องพักโรงแรมตอนเมาในเรื่อง “The Hangover” ได้ และต้องพาไปไหนด้วยก่อนจะรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของเจด จริงๆ แล้วแกรนท์ โฮล์มควิสต์ นักแสดงเด็กที่อายุน้อยสุดผู้รับบท ไทเลอร์ ใน “ภาค 3” เป็นหนึ่งในทารกอีกหลายคนที่มาร่วมรับบทบาท และมีภาพอยู่บนโปสเตอร์ภาพยนตร์พร้อมแว่นกันแดดแนวสปอร์ต และอยู่ในกระเป๋าที่คล้องคออลันอยู่
ฟิลลิปส์เล่าว่า “แก้มเขาน่ารักและมีตาสีฟ้าคู่โตที่เด่นสะดุดตาเหมือนเดิม เขาไม่ใช่ดารา แต่มาร่วมงานกับเราได้อย่างสบาย เรารู้สึกเหมือนรู้จักเขามาก่อน และรู้สึกดีมากที่ได้เจอเขาอีกครั้ง”
ผู้สร้างภาพยนตร์ยังต้อนรับการกลับมาของ ไมค์ อีปส์ ผู้มารับบท “แบล็คดั๊ก” ผู้เรียกเสียงฮา ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่เขาเกลียดมาก และเป็นชื่อแรกที่ชาวแก๊งค์ตั้งขึ้นมาด้วยความคับแค้นใจ เพื่อสร้างความแตกต่างให้ชื่อของเขากับเพื่อนที่หายไป
นอกจากนั้นยังมี ซาช่า บาร์รีซ ที่กลับมารับบท เทรซี่ สาวผู้ต้องคอยกังวลทั้ง ดั๊ก สามีของเธอกับ อลัน น้องชายของเธอ เจมี่ ชุง กลับมารับบท ลอว์เร็น หญิงสาวที่สตูยอมเสี่ยงชีวิตแต่งงานด้วยในภาคสอง ซอนดร้า เคอร์รี่ กลับมารับบท ลินดา แม่ของอลันที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยาวนาน และ กิลเลน วิกแมน ผู้รับบท สเตฟานี่ คู่รักคนเดิมของฟิล
“ฉันบอกตัวเองว่าจะไม่กลับมาเหยียบอีก” — สตู
“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องจบคืนนี้” — ฟิล
ตัวละครสุดท้ายที่กลับมาร่วมงานด้วยในหนังคือ ลาสเวกัส หรือที่ฟิลลิปส์เรียกว่า “ตัวการแห่งหายนะของหนุ่มๆ”
จากผลกระทบอย่างแสนสาหัสเมื่อหกปีก่อนสำหรับอลัน ฟิล สตูและดั๊ก มันเทียบไม่ได้กับชีวิตจริงของเหล่าพระเอกในช่วงปีนั้น และปรากฏการณ์ที่ภาพยนตร์แฟรนไชส์ได้รับความนิยมจากแฟนๆ ตั้งแต่ภาคแรก ซึ่งไม่มีที่ไหนชัดเจนเท่ากับที่ลาสเวกัส เพียงมองแวบเดียวไม่ว่าจากมุมไหนก็เห็นหลักฐานที่ชัดเจน ทั้งสล็อตแมชชีนในธีมแฮงค์โอเวอร์ ผู้มาเยือนแจกจ่ายเสื้อยืดแก๊งค์หมาป่า ร้านกิฟช็อปขายของที่ระลึกเกี่ยวกับภาพยนตร์ และที่ด้านนอกไม่แปลกเลยที่จะเห็นคนยืนแบบอลันทำท่าชวนนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพ
“’เดอะ แฮงค์โอเวอร์กลายเป็นภาพยนตร์สัญลักษณ์ของลาสเวกัสที่ผมรักและภูมิใจมาก” ฟิลลิปส์กล่าว
“การถ่ายทำภาคแรกเรามีโปรไฟล์น้อยกว่านี้” เฮล์มสจดจำได้ “การย้อนกลับไปถือเป็นการบรรยายอย่างง่ายดายมาก เพราะไม่ใช่แค่เราที่จำได้เท่านั้น แต่ ‘The Hangover’ เหมือนหนังเรื่องสำคัญของที่นั่นเลย มันทรงพลังมากและมีความสนุกตื่นเต้นอย่างไม่ขาดสาย มันไม่ง่ายเลยที่จะเดินผ่านล็อบบี้หรือเล่นแบล็คแจ็คเป็นชั่วโมงโดยไม่พบฝูงชน หรือแฟนๆ มาทักทาย รู้สึกดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน”
การถ่ายทำหวนกับไปที่โรงแรม Caesars Palace Hotel และคาสิโน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเรื่องในภาคแรก และเหมือนถูกกำหนดให้เป็นการพลิกเดจาวูครั้งสำคัญ เป็นการตอกย้ำถึงแรงบันดาลใจที่ยั่ยืนของเนื้อเรื่องนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่อันน่าจดจำแห่งเวกัส คูเปอร์เล่าว่า “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเล่าว่า พวกเขาต้องห้ามผู้คนที่พยายามขึ้นไปบนหลังคาตลอด”
พื้นที่สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งภายในและโดยรอบ คือล็อบบี้ที่ขึ้นชื่อ ลิฟต์ และภายในห้องสวีทขนาด 10,000 ฟุตที่เป็นลานจัดงานปาร์ตี้ของเฉา ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 3” ยังมีการใช้สถานที่ในท้องถิ่นอย่าง Super Liquor Store บนถนนพาราไดซ์ และ Fremont Street พื้นที่รอบย่านตัวเมือง
ฉากที่มีความโดดเด่นพิถีพิถันมากที่สุด เป็นฉากท้องฟ้าแห่งลาสเวกัสแบบพาโนรามายามค่ำคืนจากมุมที่แปลกตาของจริงอย่างอุปกรณ์ดิ่งพสุธาของเลสลี่ เฉา ตอนที่เขาลองเสี่ยงหนีจากระเบียงเพนท์เฮาส์ของเขา ซึ่งมีความสูงกว่าหลอดไฟและหลังคา ลอยผ่านถนนสายสำคัญของลาสเวกัส ผ่านหอไอเฟลแถบ Paris Hotel เฉาลอยตัวกลางอากาศเหมือนใบไม้ที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ขณะที่ผู้ไล่ล่าเขาอยู่พยายามตามติดเขาบนถนนด้านล่าง
การถ่ายทำต้องมีการเตรียมการกันอย่างหนัก รวมถึงต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ สตั๊นท์นักโดดร่ม เครนขนาดใหญ่ และการทำงานกับน้ำพุ The Bellagio ที่มีชื่อเสียง “เราถ่ายทำกันเกิน 2 คืน ตั้งต้องเตรียมการกันนานหลายเดือน” โกลด์เบิร์กกล่าว “ถนนเส้นนั้นเป็นถนนทางหลวงเส้นที่วุ่นวายมากที่สุดในโลก เราให้คนลอยตัวเหนือรถไม่ได้ มันอันตรายเกินไป เราต้องใช้ผู้ช่วยจำนานมากปิดถนน พร้อมขอความช่วยเหลือจากตำรวจในลาสเวกัส เราถ่ายทำได้เพียง 8 นาทีต่อครั้ง เราจะเก็บภาพนักโดดร่มลอยลงมา รอให้พวกเขาร่อนลงอย่างปลอดภัย จากนั้นพาพวกเขาออกจากถนนจึงเปิดการจราจรได้ เราต้องรอ 10 นาทีถึงถ่ายใหม่อีกครั้ง มันเหมือนกับปฏิบัติการทางทหาร แต่เป็นฉากที่อลังการและเป็นการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเฉา”
นักโดดร่มทั้งสี่คนที่แสดงเป็นเฉาบนถนน รวมถึงฟิลลิป แทน ที่เคยแสดงแทนเค็น จุง ในภาพยนตร์เรื่อง “Hangover” ทุกตอน เส้นทางของพวกเขาจะมีกล้องหกตัวจับภาพอยู่บนพื้น รวมถึงกล้องบนหมวกนิรภัยและกล้องทางอากาศที่ใช้สายเคเบิล เพื่อทดสอบความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ด้านการคำนวนระยะทาง
ผู้ควบคุมสตั๊นท์ แจ็ค กิล เล่าถึงรายละเอียดบางส่วนว่า “เราผูกสายเคเบิลขนาดพันฟุตที่ความสูง 350 ฟุตกลางอากาศ หลังเลือกพิกัดโรงแรมต่างๆ ที่จะใช้งานได้แล้ว จากนั้นเราต้องหาเครนเพื่อติดตั้งลวด” ซึ่งนี่หมายถึงการติดตั้งอุปกรณ์ขนาด 500 ตันล่วงหน้าใกล้กับทางเข้า Bally ซึ่งต้องใช้รถบรรทุก 7 คันและเวลา 8 ชั่วโมง เขาเล่าต่อว่า “จากนั้นเราใช้สายเคเบิล 2 เส้นพาผ่าน Planet Hollywood มีความยาว 1000 ฟุต เราผูกฟิล แทน ติดกับลวดและมีกล้องอยู่อีกด้าน กล้องจะเคลื่อนที่ไปใกล้เขา จากนั้นจะม้วนไปอีกทางเวลาที่เขาเคลื่อนที่ไปอีกด้าน”
จริงๆ แล้วนักโดดร่มต้องดีดตัวเองออกจากเฮลิคอปเตอร์ที่ได้รับการอนุญาตจาก FAA นอกจากนั้นแล้วฟิลลิปส์เล่าย้อนให้ฟังว่า “ต้องมีการประสานงานช่วยเหลือจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่โด่งดัง 5-6 โครงการผู้เป็นเจ้าของถนนเส้นนี้ ผมต้องรีบกดปุ่มปิดน้ำพุ The Bellagio เพราะเราไม่อยากให้เฉาร่อนลงมาโดนละอองน้ำ ทุกอย่างราบรื่นและทำให้เรื่องราวดูสมจริง ผมว่ามันยกระดับประสบการณ์ในการดูหนังแนวนี้ได้เสมอ แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้แต่ดูแล้วก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง”
เฮล์มสกล่าวติดตลกว่า “ต่างจากภาคอื่นที่เราต้องทำอะไรสักอย่าง จากนั้นสตั๊นท์ของเราจะแสดงอะไรหลุดโลกยิ่งขึ้น ส่วนในภาคนี้เราเล่นอะไรกับฉากหลุดโลกไม่ค่อยได้เลย”
ในความเป็นจริงแล้วนักแสดงต่างมีส่วนร่วมในฉากสตั๊นท์ของตัวเอง ฉากสำคัญที่เป็นที่กล่าวขานของภาพยนตร์มากที่สุดคือฉากที่อลันกับฟิลไต่ลงมาจากด้านข้างตึกโรงแรม จริงๆ แล้วฉากนั้นถ่ายทำที่โรงถ่าย แต่ถึงอย่างไรคูเปอร์และแกลิเฟียนาคิสก็ต้องปีนแนวดิ่งด้วยความสูง 60 ฟุตที่สร้างขึ้นที่ Stage 16 ใน Warner Bros. Studios
การผสมผสานทางสถาปัตยกรรมของซีซาร์พาเลส ผู้ออกแบบฉากฯ เมเฮอร์ อาหมัด ได้สร้างสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงเรื่องราวทั้งห้าของ Augustus Tower ในโรงแรม อาทิเช่น ระเบียงขนาดใหญ่ การแกะสลักนางฟ้าเป่าทรัมเป็ต และตัวอักษรสัญลักษณ์โรงแรมที่ตกแต่งด้วยไฟขนาด 9 ฟุต ที่สร้างความตะลึงให้นักแสดงและสตั๊นท์แมนที่ต้องเดินบนนั้น รวมถึงการวางแผนจัดยอดเครนขนาด 3,200 ปอนด์ สูง 100 ฟุตในฉาก เจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เพิ่งเติม และพื้นเวทีที่ถูกรื้อออกเพื่อให้ห้องสูงขึ้น
ฉากทั้งหมดถูกรายล้อมด้วยกรีนสกรีนที่ฝ่ายวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์นำมาเสริมอย่างพิถีพิถัน เพื่อถ่ายฉากวิวท้องฟ้าของเวกัส
ในบางช่วงที่ต้องใช้ร่างกายแสดง “แบรดลีย์ไม่ถอยหนีเลย เขาไม่พูดถึงมันด้วยซ้ำ เขาอยากแสดงเองตลอด เขาไม่ชอบเวลาเราใช้สตั๊นท์แมน ตรงกันข้ามกับแซ็คที่ผมว่าเขาอยากให้สตั๊นท์แสดงแทนเขาทั้งเรื่อง” ฟิลลิปส์กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ
ด้วยความที่กลัวความสูงมาก แกลิเฟียนาคิสเล่าให้ฟังว่า “อลันกับฟิลต้องปีนลงจากหลังคาด้วยผ้าปูที่นอน เราต้องใช้เครื่องลากจึงมีความปลอดภัยแน่นอน แต่ความรู้สึกผมตรงกันข้ามเลย ผมบอกหรือยังว่าแสดงหนังเรื่องนี้สนุกแค่ไหน? ผมเป็นโรคกลัวความสูง ถ้าผมสูงกว่านี้สัก 2 นิ้วคงอยู่กับความกลัวไปชั่วชีวิต เพราะนั่นสูงเกินไปสำหรับผมแล้ว”
นอกจากฉากหนีคุกด้วยการระเบิดของเฉาที่มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัยแล้ว เค็น จุง ยังต้องใช้เวลาทั้งวันดำน้ำในแทงค์ที่ลึก 30 ฟุตโดยมีน้ำพุ่งมาหาเขาทางด้านหลัง
สำหรับฉากคุก อาหมัดและทีมงานของเขาต้องจัดเครื่องมือระบบไฟฟ้ากำลังน้ำขึ้นมาใหม่ จากนั้นเชื่อมต่อเข้ากับอุโมงค์ท่อระบายน้ำที่สร้างขึ้นมาในโรงถ่าย “สิ่งที่ทอดด์กับผมอยากทำคือการสร้างมันขึ้นมาในสองระดับ” ผู้ออกแบบเล่าว่า “เฉาลงไปในรูตรงกำแพง เขาจะตกลงมาตรงกลาง 15 ฟุต จากนั้นลงไปที่อุโมงค์ด้านเล็กกว่าซึ่งแยกจากอุโมงค์หลัก จากนั้นเขาปีนขึ้นอุโมงค์อีกระดับหนึ่ง ทุกอย่างจะแคบลงจนเขาถูกน้ำพัดไป ทั้งหมดเป็นภาพที่น่าจดจำกว่าการวิ่งทางตรง”
อาหมัดยังสร้างโรงรับจำนำลาสเวกัส จำลองจากร้านเฟอร์นิเจอร์ที่มีความสมจริงจนดึงดูดลูกค้าเข้ามาสอบถามได้
หน้าที่สำคัญสุดของเขาคือการเปลี่ยนตึกสามหลังขนาดใหญ่ในย่าน Nogales รัฐแอริโซน่าให้กลายเป็นละแวกบ้าน Tijuana แสนวุ่นวายที่ฟิล สตู อลันและเฉาใช้เป็นที่รวมตัวกันอย่างลับๆ “ต้องสร้างตึกมากกว่าหนึ่งหลัง ซึ่งแทบทุกตึกจะมีร้านค้ามากกว่า 50 ร้านที่ต้องพลิกโฉมด้วยการตกแต่งและสร้างเอกลักษณ์” อาหมัดกล่าว “เป็นสถานที่ที่น่าสนใจ เพราะถนนเส้นนั้นเชื่อมต่อเป็นตัว Y และเป็นบริเวณหน้าอาคารที่เหมาะกับที่นั่งรอรถประจำทาง ทุกอย่างในฉากมีความสมบูรณ์แบบมาก ในตึกหลังเดียวกันจะมีบริเวณภายนอกอาคารที่เฉาเจาะหลุมขึ้นมาด้วย”
มีการใช้ชีวิตอยู่กับฝูงไก่ ทำให้เห็นถึงความตกต่ำของอดีตนักพนันเพื่อเอาชีวิตรอด มีฉากหนึ่งที่อลันพลิกความสงบเงียบให้ในห้องชุลมุนไปด้วยปีก กรงเล็บ และเสียงร้องตอนที่ไก่มารุมทำร้ายอลัน ฟิลและสตู ช่วงเวลาแห่งความโกลาหลทั้งหมดถ่ายทำในโรงถ่าย และต้องใช้ไก่หลายสิบตัวทั้งตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งได้รับการฝึกจาก Birds and Animals Unlimited ให้ปีนและเกาะบนหลังนักแสดงได้ ไก่กระโจนออกนอกหน้าต่างและถูกจับให้ดิ่งลงมาบนผ้านุ่มๆ สำหรับการปกป้องสัตว์และมนุษย์ได้มีการสร้างหุ่นจำลองที่ควบคุมได้โดยมือ เช่น การเลียนแบบการจิกและการข่วน
ครูฝึกจาก Birds and Animals Unlimited ยังดูแล สแตนลีย์ ยีราฟนักแสดงวัยรุ่นอารมณ์ดีในภาพยนตร์ด้วย สำหรับฉากโคลสอัพที่สำคัญของเขาในโรงถ่ายอื่น ท่าทางที่นิ่งสงบของสแตนลีย์ถูกบันทึกภาพในระบบดิจิตอล และรวมเข้ากับฟุตเทจของอลันที่ลากรถเปล่าบนไฮเวย์ สำหรับการตัดต่อลำดับสุดท้ายที่เหมือนทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน โดยไม่รู้ถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น
“หนังเรื่องนี้มีความเข้มข้น โหดเหี้ยม อลังการ” คูเปอร์กล่าว “ผมพูดถึงเรามีการโดดร่มรอบเวกัสตอนกลางคืน มีสัตว์ป่ามาอยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ มีเรื่องเพี้ยนๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องพื้นๆ ผมว่าในหนังไม่มีฉากไหนที่ทอดด์หรือใครคิดว่า ‘ทำให้ดีกว่าภาคแรกหรือภาคสองดีกว่า’ ความตั้งใจอยู่ที่การถ่ายทอดเรื่องราวสนุกๆ ให้รู้สึกเหมือนเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นในชีวิตสามคนนี้”
ในอารมณ์เดียวกัน การพาพวกเขากลับสู่ลอสแองเจลิสในภาคสุดท้ายสุดอลังการของหนังไตรภาค ไม่ได้มีแค่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ควรมอบความสุขอย่างสมบูรณ์แบบด้วย
“ครั้งนี้เราปิดตำนานได้จริงๆ ในแบบที่สอดคล้องกับเรื่องที่เราสร้างในภาคแรก” แกลิเฟียนาคิสกล่าว “เรามีมุกตลกเด็ดๆ และฉากแอ็คชั่นหลุดโลกหลายฉาก พร้อมทั้งมอบความรู้สึกจากใจหลายอย่างได้อย่างลงตัวอีกด้วย”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความรู้สึกหลายอย่างจากการทำงานในเรื่อง “The Hangover ภาค 3” จะก่อตัวเป็นมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ในบรรดานักแสดงและทีมงานที่ส่วนใหญ่ร่วมงานกันมาทั้งสามภาค
“มีหลายอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ตะโกนคำว่า ‘แอ็คชั่น’ ตั้งแต่วันแรกในเรื่อง ‘Hangover’” ภาคหนึ่ง ฟิลลิปส์กล่าวว่า “มันเป็นความสุขของเราที่มองย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อนกับหนังทั้งสามเรื่อง คิดถึงความบ้าบอที่เราทำ และสถานที่หาลยแห่งที่เราไปด้วยกัน ตอนที่เราถ่ายฉากสุดท้ายในวันสุดท้าย ผมรู้สึกได้เลยว่าความพิเศษบางอย่างมาถึงจุดจบแล้ว
“ผมรู้ว่ามันเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้สร้างหนังแบบนี้ และสร้างตัวละครที่ผู้ชมให้การตอบรับแบบที่มีให้กับพวกเขา” ผู้กำกับกล่าวต่อ “และผมดีใจที่เราปิดฉากได้สมฐานะของเรื่อง และมอบความอลังการให้หนังได้อย่างที่ควรจะเป็น”