กรุงเทพฯ--31 พ.ค.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์
ทำเอาไอดอลสาวมั่นอย่าง “กาละแมร์-พัชรีศรี เบญจมาศ” และ “อมิตา ทาทา ยัง” รวมทั้งหนุ่มข้างกายสาวมั่นอย่าง “หมอโอ๊ค-น.พ.สมิทธิ์ อารยะสกุล” ถึงกับอึ้งเมื่อ “โดฟ” เผยผลวิจัยชุดล่าสุดที่ได้ไปสำรวจผู้หญิงทั่วภูมิภาครวมทั้งผู้หญิงในประเทศไทยแล้วพบว่ามีเพียง 1% ของผู้หญิงไทยที่เท่านั้นที่กล้ายอมรับว่าตนเองสวยและดูดี นั่นหมายความได้อย่างเดียวว่า มีผู้หญิงไทยมากถึง 99% ที่มีความไม่มั่นใจที่จะพูดถึงความสวยของตนเอง ดังนั้นสามตัวแทนคนดังจึงตอบรับคำเชิญเข้าร่วมงานเสวนา “เพราะว่าคุณสวยกว่าที่คุณคิด” ที่โดฟเปิดเวทีให้ทุกคนร่วมกันระดมความคิดเห็นถึงประเด็นร้อนกับผู้บริหารจากยูนิลีเวอร์ รวมทั้ง พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และดร.เสรี วงศ์มณฑา พร้อมแนะเคล็ดลับสร้างมั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองให้ผู้หญิงไทยกันอย่างเต็มที่
หลังจากนั่งฟังข้อมูลจากผลสำรวจโดยผลิตภัณฑ์โดฟ จากบริษัทยูนิลีเวอร์ ในหัวข้อทัศนคติและมุมมองเกี่ยวกับความงามและความสุข ที่พบว่าปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 1 ของผู้หญิงไทยที่มีความมั่นใจในความงามของตนเองและกล้านิยามว่าตนเองดูดี ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่น้อยที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงไทยร้อยละ 79 ที่เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนมีความงามในแบบของตนเอง ซึ่งผู้หญิงถึงร้อยละ 66 ยอมรับว่าปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ขาดความมั่นใจคือคำวิจารณ์จากตนเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสุขและความพอใจในชีวิตของผู้หญิงไทยเป็นอย่างมาก เพราะกว่าร้อยละ 60 เชื่อว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามจะนำไปสู่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า และผู้หญิงไทยถึงร้อยละ 79 เผยว่าความพอใจในความงามของตนเองทำให้มีความสุขมากขึ้น โดยเป็นอัตราส่วนที่สูงยิ่งกว่าความสุขจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการมีความมั่นคงทางการเงิน ดังนั้นตัวแทนสาวมั่นแห่งวงการบันเทิงและคุณหมอเนื้อหอมผู้มองเห็นคุณค่าความงามจากความมั่นใจของผู้หญิง จึงขอเปิดไมค์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ในมุมมองของแต่ละคน
เริ่มกันที่กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ ผู้ประกาศข่าวสาวสุดมั่นที่บอกว่า “ฟังงานวิจัยของโดฟที่บอกว่า มีผู้หญิงไทยแค่ 1% ที่กล้าบอกว่า ตัวเองสวยและดูดี และดูคลิปวีดีโอ Dove Real Beauty Sketch บน YouTube ที่มีนักวาดภาพผู้ต้องสงสัยจากเอฟบีไอมาสเกตช์ภาพผู้หญิงจากคำบรรยายถึงหน้าตาของตนเองเปรียบเทียบกับการบรรยายรูปลักษณ์ภายนอกโดยคนอื่น ซึ่งรูปหลังดูสวยกว่ามาก ก็ทำให้แมร์คิดว่าผลวิจัยนี้อาจจะสะท้อนเหตุการณ์จริงบางอย่างในสังคมเราสมัยนี้ เช่น ก่อนที่ผู้หญิงจะอัพรูปขึ้นเฟซบุ๊คหรืออินสตาแกรม พวกเธอจะต้องสวยด้วยแอพลิเคชั่นแต่งรูปก่อน ก็เป็นไปได้ว่าลึกๆ ผู้หญิงเราอยากจะให้คนมากด Like และคอมเมนต์ชมเรา ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกดีและมั่นใจมากขึ้น”
“แมร์ยอมรับว่าแมร์ไม่ใช่คนสวยตามเช็คลิสต์หนุ่มไทย แล้วก็เคยเป็น 1 ใน 99% ที่ไม่มั่นใจในตนเอง แต่หลังจากที่แมร์หันมาเชื่อว่าว่าเสน่ห์ของแต่ละคนมาจากการเป็นตัวของตัวเองและมั่นใจที่จะพูดว่าเราสวยในแบบของเรา ทำให้แมร์กลับมามองว่าความแตกต่างคือพลังในการสร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวให้กับแต่ละคน อย่างแมร์อยู่เมืองไทยอาจจะไม่ได้สวยสะดุดตา แต่ขอบอกว่าไปเมืองนอกทีไรหนุ่ม ๆ ฝรั่งเข้ามาบอกว่า You are beautiful กันตรึม แมร์อยากให้ผู้หญิงหันมานับถือตัวเองให้มากขึ้น อาจเริ่มจากหากิจกรรมที่ทำแล้วส่งเสริมความสามารถของตนเองก็จะทำให้มั่นใจในคุณค่าและความงามของตนเองจากภายใน และจะช่วยให้เราดูมีเสน่ห์มาถึงภายนอก แมร์มองว่าอย่าเอาความสวยของเราแขวนไว้บนความพอใจของคนอื่น และต้องบอกตัวเองให้ได้ว่าเราก็มีดีในแบบของเรา ความสวยต้องมีวันพอ เมื่อเราพอใจเราก็จะสวย” กาละแมร์กล่าวสรุป
ส่วนคุณหมอโอ๊ค-สมิทธิ์ อารยะสกุล คุณหมอหนุ่มรูปหล่อหน้าใสที่มีคนรู้ใจเป็นสาวสุดเปรี้ยวแห่งวงการบันเทิง เปิดประเด็นอย่างน่าสนใจว่า “หน้าแรกจากตำราเรียนแพทย์ด้านความงามของผมสอนว่า “Beauty is in the eye of beholder หรือสวยหรือไม่ใช้ใจดู ดังนั้นผมจึงคิดเสมอว่าแม้แต่แพทย์ด้านความงามก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินได้ว่าคนไหนสวยไม่สวย ในมุมมองของผมเสน่ห์ของผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่เรามองเห็นแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเดียว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือความมั่นใจที่จะช่วยทำให้ผู้หญิงดูดีมีเสน่ห์ขึ้นได้ ผมชอบผู้หญิงที่มีทัศนคติที่เชิงบวก เพราะพลังในการคิดบวกของเขาสามารถเผื่อแผ่มาถึงคนรอบตัวซึ่งนี่เป็นเสน่ห์ที่สำคัญที่มาจากความมั่นใจ ผมเห็นสมัยนี้ผมเห็นผู้หญิงหลายคนที่ก่อนจะออกจากบ้านต้องแต่งหน้าแต่งตัวหลายชั่วโมง รวมทั้งความสวยทุกวันนี้ได้กลายเทรนด์ไปแล้ว คนไข้บางรายกังวลมากและมาหาผมแล้วบอกว่าช่วยทำให้หน้าสวยเหมือนดาราคนนั้นคนนี้ แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผมมองว่าจริงๆ เพศหญิงเป็นเพศแห่งความสวยงามอยู่แล้ว และผู้ชายส่วนมากจะชอบผู้หญิงที่ มั่นใจในธรรมชาติของตนเอง ไม่ต้องปรุงแต่งเยอะ ผมบอกได้เลยว่าสุภาพบุรุษจะไม่ติติงเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกผู้หญิงเพราะนั่นคือการอยากครอบครองไม่ใช่ความรัก ถ้าทุกคนสวยเหมือนกันหมดโลกก็คงน่าเบื่อ แต่ความเชื่อมั่นในตัวเองนี่แหละที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุขและสวยที่สุดครับ”
ปิดท้ายที่นักร้องสาว อมิตา ทาทา ยัง ที่วันนี้มีแฟนคลับหอบดอกไม้มาให้กำลังใจอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง หลังจากปล่อยคลิประบายความเครียดจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป “ทาทาเคยเครียดจนร้องไห้เพราะรูปร่างที่บวมขึ้นจากไทรอยด์ แต่หลังจากได้กลับมาคิดทาทาก็มองว่าไม่มีใครที่สามารถทำให้เราเครียดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเราได้นอกจากตัวเอง ทุกวันนี้อะไรที่ทาทาทำแล้วมีความสุขก็จะทำ ถ้ากินแล้วมีความสุขก็จะกิน ถึงแม้ตอนนี้สยามสแควร์จะมีแต่เสื้อไซส์ xs เราก็ไม่ต้องสนใจ เพราะถ้าเราสุขภาพจิตดีจากภายในแล้วเราก็จะมีกำลังไปทำอะไรได้อีกเยอะ นอกจากนี้ทาทายังเชื่อในเรื่อง Natural beauty หรือสวยแบบธรรมชาติและไม่ต้องพยายาม อย่างทุกวันนี้ทาทาไม่ใช่สาวน้อยเหมือนสมัยออกเทปเมื่อ 20 ปีแล้ว ร่างกายเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เรื่องริ้วรอยหรือไขมันที่มาตามวัยก็เป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้อยากเสริมว่าบุคคลรอบตัวก็มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้ทาทากลับมามีความมั่นใจในตนเอง ที่ผ่านมาทาทาได้กำลังใจจากเพื่อน ครอบครัวที่มีคุณแม่เป็นแบบอย่างของผู้หญิงมั่นใจ เวลาคนชมก็จะสอนให้พูดว่าขอบคุณ ไม่ใช่ให้ตอบว่าไม่จริงเหมือนที่คนไทยชอบตอบ และที่สำคัญคือแฟนคลับทุกคนและพี่กาละแมร์ที่วันนี้พร้อมใจกันมาบอกทาทาว่าเสน่ห์ของทาทามาจากความสามารถและความมั่นใจ ซึ่งไม่ว่าทาทาจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่ถ้าทาทาก็ยังเป็นนักร้องเจ้าของพลังเสียงมหัศจรรย์คนเดิมเสมอ ถ้าทาทามีความมั่นใจในตนเองแบบเดิมก็พอแล้ว”
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าผู้หญิงที่มั่นใจคือคนที่ก้าวผ่านพ้นกลไกสมองที่ยอมกดดันตนเองและทำสวยเพื่อให้คนอื่นพอใจ แต่เป็นคนที่มีเหตุมีผลและรู้จักจุดเด่นจุดด้อยของตนเองเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่หวั่นไหวไปกับคำติหรือคำชมที่มากเกินไป ดังนั้นลองเริ่มตั้งแต่วันนี้โดยมองให้ลึกซึ้งว่าผู้หญิงทุกคนมีความงามในแบบของตนเอง เมื่อคุณได้ดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดเพื่อดึงส่วนที่สวยงามของตัวเองออกมาแล้วคุณจะรู้ว่าคุณก็สวยได้ในแบบของคุณเหมือนกัน
*ที่มา: Dove Research 2013: The Real Truth About Beauty: Revisited
**Dove Global Research 2010