กรุงเทพฯ--5 มิ.ย.--กระทรวงวัฒนธรรม
นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Convention for the Safeguarding Intangible Cultural Heritage) ขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ซึ่งอนุสัญญานี้จะเป็นเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศ ในการปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมในส่วนที่จับต้องไม่ได้ทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก รวมทั้งเป็นการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชน กลุ่มชน และปัจเจกบุคคล ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมจะดำเนินการการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาโดยเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง ซึ่งหลังจากที่ได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว กระทรวงวัฒนธรรมจะดำเนินการยื่นหนังสือถึงยูเนสโกเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ในการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 37 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศกัมพูชา
นายสนธยา กล่าวอีกว่า การเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาฯ ดังกล่าว เป็นการแสดงเจตจำนงทางนโยบายของไทยในการเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่มีอยู่ในอาณาเขตประเทศไทย ขณะนี้ มีประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาแล้ว 153 ประเทศ โดยมีประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมแล้ว 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม สำหรับอนุสัญญานี้จะปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้รวม 5 สาขา ได้แก่ 1.ประเพณีและการแสดงออกของมุขปาฐะ รวมถึงภาษาในฐานะพาหะของมรดกภูมิปัญญาของวัฒนธรรม 2.ศิลปะการแสดง 3.แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม และงานเทศกาล 4.ความรู้และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล และ5. งานช่างฝีมือดั้งเดิม ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้เตรียมการจัดตั้งสำนักมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นหน่วยดำเนินงาน และจัดทำฐานข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ปัจจุบันมีคลังข้อมูล ด้านศิลปะการแสดง 350 เรื่อง ด้านงานช่างฝีมือดั้งเดิม 500 เรื่อง และด้านมุขปาฐะ 40 เรื่อง และได้มีการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2552 — 2555 จำนวน 150 รายการ อาทิ โขน โนรา ซิ่นตีนจก กริช และเครื่องจักสานย่านลิเภา เป็นต้น