กรุงเทพฯ--14 มิ.ย.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
"ยุทธพงศ์" ชูนโยบายพัฒนาเกษตรกรสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานตามความต้องการของผู้บริโภค หวังเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตรของไทย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่เออีซี
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน ได้กำหนดจัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีเศรษฐกิจพอเพียง สู่ประชาคมอาเซียน” ระหว่างวันที่ 14 — 1 6 มิถุนายน 2556 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต จังหวัดปทุมธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์งานด้านเกษตรอินทรีย์ ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ที่มีต่อระบบการเกษตรของชาติ และได้ทราบถึงผลการดำเนินงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดแสดงนิทรรศการเกษตรอินทรีย์ การบรรยายพิเศษ “แนวคิด ทิศทางการเกษตรอินทรีย์ไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง สู่อาเซียน” การสัมมนาวิชาการ “การปรับตัวและขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ไทย : บทเรียนจากภาครัฐและภาคีเครือข่ายเกษตรอินทรีย์” นอกจากนี้ ยังมีเวทีสัมมนาและสาธิตต่าง ๆ เกี่ยวกับพืชผักเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งเวทีการแสดงต่าง ๆ ตลอดจนการจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าปลอดสารพิษ และสินค้า OTOP ต่าง ๆ อีกมากมาย
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อไปว่า เกษตรอินทรีย์เป็นกระบวนการผลิตที่ใช้หลักความสมดุลตามธรรมชาติ มีการบริหารจัดการระบบการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลผลิตที่ปลอดภัยต่อสุขอนามัยของทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภคภายใน ประเทศ และการผลิตเพื่อการส่งออก โดยแนวโน้มในเรื่องการส่งออกผลผลิตเกษตรอินทรีย์ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ประเทศต่าง ๆ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ กว่า 100 ประเทศ มีความต้องการผลผลิตเกษตรอินทรีย์เพื่อการบริโภคเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ และนโยบายรัฐบาลให้ภาคเกษตรเป็นครัวของโลก ประกอบกับดินฟ้าอากาศเอื้ออำนวยต่อการทำเกษตรกรรม ประเทศไทยจึงมีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิต
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า การเปิดเสรีการค้าอาเซียนในปี 2558 นี้ เกษตรกรไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะอาชีพเกษตรกรรมคืออาชีพหลักของผู้คนส่วนใหญ่ในอาเซียน ดังนั้น ภาคเกษตรกรรมจะเกิดการแข่งขันรุนแรงในเรื่องของราคาและต้นทุนการผลิตที่ต้องถูกลง ดังนั้น หากเกษตรกรไทยยังคงต้องพึ่งพาสารเคมี มีแนวโน้มว่าจะไม่มีตลาดรองรับสินค้าปนเปื้อนเหล่านี้ ทางออกของเกษตรกรไทยทางหนึ่ง คือ การลดต้นทุนการผลิต และผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน โดยการหันมาผลิตสินค้าในระบบปลอดภัยจากสารพิษ (มาตรฐาน GAP) หรือ หากเกษตรกรมีความพร้อม และมีศักยภาพให้ทำการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐาน ทั้งมาตรฐานระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับสากล และควรเน้นการผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาดหรือลูกค้า คือเป็นอาหารปลอดภัย อาหารในระบบเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรธรรมชาติ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร และด้วยความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จึงได้กำหนดจัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีเศรษฐกิจพอเพียง สู่ประชาคมอาเซียน” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์งานด้านเกษตรอินทรีย์ ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ที่มีต่อระบบการเกษตรของชาติ และได้ทราบถึงผลการดำเนินงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดมา
“การจัดงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์ฯ ในครั้งนี้ นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีการนำผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งดำเนินการในลักษณะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในสังกัด องค์กรภาครัฐ เอกชน หมอดินอาสา เกษตรกร กลุ่มเกษตรกรและเครือข่ายการทำเกษตรอินทรีย์ มาประชาสัมพันธ์สู่สาธารณะอย่างกว้างขวาง สร้างแรงจูงใจให้กับผู้ผลิตเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ ผ่านกิจกรรมการรณรงค์และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ พลิกฟื้นแผ่นดินไทย ผู้ผลิตและผู้บริโภคปลอดภัย เกษตรกรรมไทยยั่งยืน นอกจากนั้น ได้จัดให้มีการพบกันระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรอินทรีย์ ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะส่งผลต่อการสร้างช่องทางการตลาดใหม่ให้เกิดมากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และก่อให้เกิดแนวคิดในการพึ่งพาตนเอง ตลอดจนก้าวสู่เวทีการแข่งขันในประชาคมอาเซียนและระดับนานาชาติ และเป็นการเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระดับภูมิภาคอาเซียน” นายยุทธพงศ์ กล่าว