กรุงเทพฯ--17 มิ.ย.--ส.ป.ก.
ส.ป.ก.รับลูกนโยบายปลัดเกษตรฯ เล็งจัดซื้อที่ดินเอกชนที่เป็นมรดกชี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชลประทานใกล้แหล่งน้ำ เพื่อเร่งจัดหาพื้นที่ทำกินแก่เกษตรกรยังไร้ที่ดินทำกินกว่า 3.7 หมื่นราย คาดว่าไม่เกิน 2 ปีจะแล้วเสร็จ
ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ เลขาธิการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เปิดเผยว่า ตามที่ปลัดกระทรวงเกษตรฯได้มอบหมายให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเร่งรัดดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร และได้กำหนดแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินเกษตรกรรมโดยกระบวนการปฏิรูปที่ดินเป็นสองแนวทางหลักด้วยกัน ได้แก่ 1.การเร่งรัดจัดซื้อที่ดินจากเอกชนเพื่อนำมาปฏิรูปที่ดิน โดยจัดสรรให้เกษตรกรเช่าหรือเช่าซื้อในราคาที่เป็นธรรม และ 2.เร่งรัดการพัฒนากลไกการหมุนเวียนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งปัจจุบันพบปัญหาเกษตรกรที่ไม่ประสงค์จะใช้ประโยชน์ที่ดิน
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ไร้ที่ทำกินเกิดความคล่องตัว รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียนไว้กับทางส.ป.ก.จัดสรรที่ดินทำกินอีกจำนวน 370,000 กว่าราย ทางส.ป.ก.จะเร่งดำเนินการสำรวจพื้นที่เอกชนมากขึ้น เพราะตามอำนาจหน้าที่ของส.ป.ก.นั้น สามารถจัดซื้อที่ดินจากเอกชน แล้วมาจัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกรได้ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ก็มีกรรมสิทธิ์ หรือโฉนดที่ดินที่ชัดเจน ประกอบกับโดยส่วนใหญ่จะตกทอดทางมรดกและปล่อยให้คนอื่นเช่าอย่างไม่เป็นระบบจนในที่สุดต้องขาย และทำเป็นสนามกอล์ฟ ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่เอกชนโดยส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในเขตชลประทานเหมาะที่จะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมมากกว่า
ทั้งนี้ ในแต่ละปี ส.ป.ก.มีงบประมาณภายใต้กองทุนในการจัดซื้อที่ดินทำกินแก่เกษตรกรปีละ 2,000 ล้านบาท โดย ส.ป.ก.ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะดำเนินการจัดซื้อที่ดินได้ปีละ 30,000 กว่าไร่ และมีแผนในการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรรายละไม่เกิน 4 ไร่ หรือไม่เกินคนละ 2-3 ไร่ ซึ่งจะสามารถจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกรได้ประมาณ 10,000 กว่าราย ที่จะช่วยในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้เกษตรกรนั้นมีที่ดินทำกินและประกอบอาชีพทางการเกษตรได้ โดยในปี 2557 คาดว่าจะเกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารถจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้ทั้งหมดจำนวน 370,000 กว่าราย ภายในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ได้ แต่ทางส.ป.ก.จะพิจารณาคัดกรองว่าเกษตรกรคนไหนมีความเดือดร้อนมากที่สุด และตรวจสอบความเป็นเกษตรกรที่จะนำพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรไปทำการเกษตรอย่างแท้จริง