กรุงเทพฯ--18 มิ.ย.--อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น
เคซีอี ลงทุนครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณ 4,675 ล้าน เดินหน้าสร้างโรงงานแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัว หรือประมาณ 2 ล้านตารางฟุตต่อเดือน รองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดเฟสแรกจะเริ่มผลิตได้ในปี 2557 เฟสสุดท้ายจะเริ่มผลิตได้ในปี 2559
นายบัญชา องค์โฆษิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จํากัด (มหาชน) หรือ KCE ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่าจากการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 ได้มีมติอนุมัติโครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ มูลค่าประมาณ 4,675 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต จำนวน 2 ล้านตารางฟุตต่อเดือน สำหรับรองรับปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ โดยโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพฯ บนเนื้อที่ 19-3-71 ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ และตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานปัจจุบัน
โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่นี้ แบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ (Phase) ต่อเนื่องกัน ได้แก่ ระยะที่ 1 (Phase I) มูลค่าลงทุนประมาณ 2,861 ล้านบาท มีระยะเวลาก่อสร้างโรงงานประมาณ 1 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มการผลิตได้ประมาณปลายปี 2557 โดยมีกำลังการผลิต 7 แสนตารางฟุตต่อเดือน, ระยะที่ 2 (Phase II) มูลค่าประมาณ 484 ล้านบาท ได้กำลังการผลิตเพิ่ม 6 แสนตารางฟุตต่อเดือน คาดว่าพร้อมดำเนินการผลิตในปลายปี 2558 และระยะที่ 3 (Phase III) มูลค่าประมาณ 1,330 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 7 แสนตารางฟุตต่อเดือน คาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ประมาณปลายปี 2559
"โรงงานแห่งใหม่นี้จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว จากปัจจุบันที่ผลิตได้1.8 ล้านตารางฟุตต่อเดือน ซึ่งจะรองรับความต้องการของลูกค้าที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเติบโตของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ โรงงานแห่งนี้ยังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพราะการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและใช้ระบบอัตโนมัติ จะทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ลดการพึ่งพาแรงงาน และมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ" นายบัญชา กล่าว
นายบัญชา กล่าวเพิ่มเติมถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่า แหล่งเงินทุนที่ใช้ในโครงการสร้างโรงงานใหม่เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ประมาณร้อยละ 12 และเป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ประมาณร้อยละ 88