กรุงเทพฯ--19 มิ.ย.--เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จะเปิดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 20 ล้านหุ้นพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิจำนวน 10 ล้านหน่วย ให้แก่ประชาชนในระหว่างวันที่ 19 ถึง 21 มิถุนายน 2556 คาดว่าจะระดมทุนได้ประมาณ 400 ล้านบาท โดยทำการแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิของบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบข่ายสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และรับเหมาติดตั้งระบบข่ายสายสัญญาณ สำหรับคอมพิวเตอร์และสื่อสารโทรคมนาคม ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 20 ล้านหุ้น พร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ จำนวน 10 ล้านหน่วยแก่ประชาชนที่ราคาหุ้นละ 21.25 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า กำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิทุกสิ้นเดือนของเดือนธันวาคม มีนาคม มิถุนายน กันยายน ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งมีอัตราการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้นในราคา 20 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ทั้งสิ้นประมาณ 400 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ระดมทุนได้ในครั้งนี้ไปลงทุนในโครงการ Interlink Fiber Optic Network ซึ่งจะเป็นโครงการให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงบนโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง ซึ่งบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ 3 จาก กสทช. และวางแผนที่จะสร้างโครงข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในระยะเวลา 3 ปี และโครงการ Interlink Data Center ซึ่งจะเป็นบริการให้เช่าพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ พื้นที่วางเซิร์ฟเวอร์ ศูนย์การให้บริการคลาวคอมพิวติ้งค์ (Cloud Computing) และศูนย์สำรองข้อมูล (Disaster Recovery) แก่องค์กรต่างๆ นอกจากนี้ คาดว่าการเพิ่มทุนและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิแก่ประชาชนครั้งนี้ จะช่วยให้หุ้น ILINK มีสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้น และการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนจะช่วยให้นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจที่สูง ตามการเติบโตที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
นายมนตรี ศรไพศาล ยังได้กล่าวถึงความมั่นใจในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ จากการที่บริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายสายเคเบิ้ลรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทยซึ่งมีอัตราการเติบโตของรายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายประมาณร้อยละ 23 ต่อปีในช่วงปี 2553 ถึงปี 2555 และมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 23 และบริษัทฯ ยังเป็นผู้ชำนาญในงานก่อสร้างระบบเคเบิลใต้ทะเล (Submarine Cable) ซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษและมีระดับการแข่งขันต่ำ รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากโครงการ Interlink Fiber Optic Network และ Interlink Data Center
นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ Interlink Fiber Optic Network ของบริษัทฯ มีจุดแข็ง คือ โครงข่ายของบริษัทฯ จะมีต้นทุนในการก่อสร้างโครงข่ายที่ต่ำจากการที่บริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และโครงข่ายของบริษัทฯ จะใช้แนวรถไฟเป็นเส้นทางหลัก ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่าต่อการลงทุนที่สุด เนื่องจากความถี่ของเสาโทรเลขตามแนวรถไฟมีน้อยกว่าเสาไฟฟ้าตามแนวถนน ทำให้บริษัทฯ สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการพาดสายไปได้พอสมควร รวมทั้งเสาโทรเลขตามแนวรถไฟมีความปลอดภัยสูงกว่าเสาไฟฟ้าบนถนนสาธารณะ ซึ่งจะทำให้โครงข่ายสายสัญญาณของบริษัทฯ มีเสถียรภาพสูง รวมทั้งโครงข่ายของบริษัทฯ จะครอบคลุมถึงอำเภอเมืองของ 72 จังหวัดทั่วประเทศ และจะเชื่อมต่อกับโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงของประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ มาเลเซีย กัมพูชา ลาว และพม่า
ปัจจุบัน บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 145 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นสามัญจำนวน 145 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท มีทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้วทั้งสิ้น 110 ล้านบาท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ โดยจะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 20 ล้านหุ้น พร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิ จำนวน 10 ล้านหน่วยแก่ประชาชน กำหนดระยะเวลาการเสนอขายระหว่างวันที่ 19 ถึง 21 มิถุนายน 2556 ในราคาเสนอขายเท่ากับ 21.25 บาท และคาดว่าหุ้นเพิ่มทุนจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 27 มิถุนายน 2556 สำหรับใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดจำนวน 15 ล้านหน่วยนั้นคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 27 มิถุนายน 2556 แบ่งเป็นใบสำคัญแสดงสิทธิที่จัดสรรโดยไม่คิดมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 จำนวน 5 ล้านหน่วย และเป็นใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเสนอขายแก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าพร้อมการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้อีก 10 ล้านหน่วย