กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Positive” หรือ “บวก” จาก “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดของบริษัทในฐานะผู้ให้บริการธุรกิจสื่อสารดาวเทียมเพียงรายเดียวในประเทศไทย ตลอดจนความต้องการใช้บริการดาวเทียมภายในประเทศไทยและในประเทศเพื่อนบ้านที่คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ รวมถึงกฎระเบียบที่ซับซ้อนในธุรกิจสื่อสารดาวเทียม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” ซึ่งเปลี่ยนจาก “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นและโอกาสในการเติบโตที่ดีในธุรกิจดาวเทียม เนื่องจากบริษัทจะปล่อยดาวเทียมใหม่ 2 ดวงเข้าสู่วงโคจรในปลายปี 2556 และในปี 2557 ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จตามแผนธุรกิจโดยที่ยังคงสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่ดีเอาไว้ได้
บริษัทไทยคมก่อตั้งในปี 2534 และเป็นผู้ให้บริการดาวเทียมเพียงรายเดียวในประเทศไทย หลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2537 แล้ว บริษัทยังคงมี บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น ณ เดือนเมษายน 2556 ที่ 41.14% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทให้บริการการสื่อสารด้วยดาวเทียมแบบวงโคจรค้างฟ้าจำนวน 2 ดวง โดยเป็นดาวเทียมแบบทั่วไป 1 ดวง คือ ไทยคม 5 และดาวเทียมบรอดแบนด์ 1 ดวง คือ ไทยคม 4 หรือรู้จักในชื่อไอพีสตาร์ และยังลงทุนในบริษัทที่ให้บริการด้านการสื่อสารในประเทศลาว ตลอดจนธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อด้วย ในปี 2555 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 7,266 ล้านบาท เติบโต 9.7% จากปี 2554 และอยู่ที่ 1,774 ล้านบาท ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 โดยรายได้จากดาวเทียมแบบทั่วไปคิดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 40% ของรายได้รวมมาตั้งแต่ปี 2555 และในช่วงเวลาเดียวกัน ยอดขายและบริการจากดาวเทียมไอพีสตาร์สร้างรายได้ประมาณ 46% ฐานลูกค้าในส่วนของบริการดาวเทียมทั่วไปของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนฐานลูกค้าบริการดาวเทียมไอพีสตาร์ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินเดีย และจีน
ปัจจัยบวกที่มีต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้รับแรงหนุนจากลักษณะของธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าได้ยาก ตลอดจนการมีตำแหน่งวงโคจรที่จำกัด เงินลงทุนที่สูง ขั้นตอนของกฎระเบียบที่ซับซ้อน และความต้องการในการใช้เทคโนโลยี ในปัจจุบันบริษัทให้บริการดาวเทียมบนวงโคจรที่ได้รับการจัดสรร (Slot) สำหรับประเทศไทยทั้งหมด โดยรายได้จากธุรกิจดาวเทียมอยู่ภายใต้สัญญาเช่าระยะปานกลางถึงระยะยาว โอกาสการเติบโตในอนาคตของบริษัทขึ้นอยู่กับการเติบโตของธุรกิจกระจายเสียงและแพร่ภาพออกอากาศ ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และความต้องการใช้บริการ Mobile Backhaul (ส่วนหนึ่งของโครงข่ายไร้สายที่รับข้อมูลที่ส่งมาจากหอส่งสัญญาณไร้สายเข้าสู่ชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่)
จำนวนช่องโทรทัศน์บนดาวเทียมไทยคม 5 เติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 427 ช่องในปี 2554 เป็น 465 ช่อง ณ ปลายเดือนมีนาคม 2556 คาดว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมการกระจายเสียงและแพร่ภาพออกอากาศในประเทศไทยจะรุนแรงขึ้นจากจำนวนผู้ประกอบการรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกิดจากการออกใบอนุญาตโทรทัศน์ระบบดิจิตอลที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ รวมถึงการเปิดเสรีรายได้โฆษณาเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ช่องโทรทัศน์ที่มีความละเอียดสูง (HD) ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยผลักดันการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมเพิ่มขึ้นด้วย ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีมูลค่างานจากการให้บริการดาวเทียมแบบทั่วไปจำนวน 335 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันบริษัทวางแผนจะปล่อยดาวเทียมแบบทั่วไปอีก 2 ดวงสู่วงโคจร คือ ดาวเทียมไทยคม 6 และไทยคม 7 ดาวเทียมไทยคม 6 มีกำหนดขึ้นสู่วงโคจรในปลายปี 2556 ซึ่งล่าช้าจากกำหนดการเดิมเล็กน้อย ทั้งนี้ ในระหว่างนี้บริษัทแก้ปัญหาโดยเช่าดาวเทียมอื่นเพื่อให้บริการเป็นการชั่วคราว ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทขายช่องรับส่งสัญญาณดาวเทียมไทยคม 6 ล่วงหน้าได้เกือบ 60% ของความจุทั้งหมดแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อให้บริการสำหรับโทรทัศน์ดาวเทียมในประเทศไทยและช่องโทรทัศน์ HD ที่มีความนิยมเพิ่มขึ้น สำหรับดาวเทียมไทยคม 7 ยังอยู่ระหว่างการสร้างโดย Asia Satellite Telecommunications Co., Ltd. และมีกำหนดปล่อยสู่วงโคจรในปี 2557 บริษัทได้รับความจุช่องสัญญาณในสัดส่วนไม่เกิน 50% ของความจุทั้งหมด ทั้งนี้ดาวเทียมดวงใหม่ 2 ดวงนี้จะเพิ่มความจุช่องรับส่งสัญญาณ 40 ช่อง และจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของบริษัทในระยะปานกลาง
บริษัทถือเป็นผู้ให้บริการธุรกิจสื่อสารดาวเทียมที่สำคัญรายหนึ่งในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก บริษัทมุ่งเน้นการขายช่องสัญญาณบรอดแบนด์ให้แก่บริษัทโทรคมนาคม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร และโครงการภาครัฐ นอกจากนี้ ยังให้บริการระบบดาวเทียมแบบปลายทางถึงปลายทาง (End-to-End) แก่ลูกค้าด้วย อัตราการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์เพิ่มขึ้นจาก 24.6% ในปี 2554 เป็น 25.2% ในปี 2555 และ 28.4% ณ สิ้นเดือนมีนคม 2556 คาดว่าอัตราการใช้ดาวเทียมไอพีสตาร์ในปี 2556 จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทได้ลงนามในสัญญาขายช่องสัญญาณในส่วนที่จัดสรรให้แก่ประเทศจีนและประเทศไทยได้ทั้งหมด ช่องสัญญาณที่จำหน่ายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2556 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 7.9% ของช่องสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์ทั้งหมด บริษัทได้จัดสรรความจุของช่องสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์สำหรับประเทศจีนเป็นจำนวนมาก (24.4%) การเข้าสู่ตลาดจีนมีความล่าช้าจนกระทั่งในเดือนมีนาคม 2556 บริษัทจึงบรรลุข้อตกลงกับ Vastsuccess Holding Limited (VAST) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดของ Synertone Communication Corporation (SYNERTONE) ทั้งนี้ SYNERTONE ซึ่งมีฐานการดำเนินงานในฮ่องกงเป็นผู้จำหน่ายส่วนประกอบของระบบการสื่อสารแบบพิเศษและให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าบริษัทจะขายช่องสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์ทั้งหมดที่จัดสรรสำหรับประเทศจีนให้แก่ VAST ในรอบระยะเวลาการให้บริการในช่วงอายุที่เหลือของดาวเทียมไทยคม 4 ข้อตกลงนี้ผลักดันให้อัตราการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์เพิ่มขึ้นเป็น 53% ของช่องสัญญาณทั้งหมด โดยบริษัทได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าบริการขั้นต่ำที่จ่ายเป็นรายปีและส่วนแบ่งรายได้ที่มาจากการให้บริการของ VAST ข้อตกลงดังกล่าวยังต้องผ่านเงื่อนไขบังคับก่อนอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 30 กันยายน 2556 รายได้จากธุรกิจในประเทศจีนน้อยกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดไว้ อย่างไรก็ตาม รายได้มีโอกาสเพิ่มขึ้นภายใต้โครงสร้างส่วนแบ่งรายได้
สถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้น และโครงสร้างเงินทุนที่ปรับตัวดีขึ้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายอยู่ในช่วง 50% ตั้งแต่ปี 2554 ถึงไตรมาสแรกของปี 2556 อันเป็นผลจากการขยายบริการดาวเทียมไอพีสตาร์และการปิดธุรกิจที่ขาดทุน Mfone Co., Ltd (Mfone) ซึ่งเป็นธุรกิจโทรคมนาคมที่บริษัทลงทุนในประเทศกัมพูชาได้เข้าสู่กระบวนการล้มละลายในช่วงต้นปี 2556 บริษัทได้ตั้งด้อยค่าของสินทรัพย์ของ Mfone เต็มจำนวนในปี 2555 และจะไม่มีผลกระทบในทางบัญชีอีกต่อไป เมื่อพิจารณาถึงโอกาสการเติบโตในบริการด้านดาวเทียมแบบทั่วไปที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น ตลอดจนการเติบโตในดาวเทียมบอร์ดแบนด์แล้ว คาดว่าผลกำไรและเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะเติบโตขึ้นในอนาคต
ภาระหนี้ของบริษัทลดลงเนื่องจากบริษัทได้ชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 3,300 ล้านบาทในปี 2555 เป็นผลทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจาก 42% ในปี 2555 เป็น 33.6% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับภาระหนี้ของบริษัทในระยะปานกลางมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ตลอดจนเพื่อตอบสนองความต้องการเงินทุนที่ใช้ในการสร้างดาวเทียมไทยคม 6 นอกจากนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับ AsiaSat เพื่อสร้างดาวเทียมไทยคม 7 ด้วย โดยบริษัทจะต้องชำระค่าเช่า 15 ปีซึ่งมูลค่าปัจจุบันสุทธิของเงินลงทุนระยะยาวนี้จะคิดเป็นภาระหนี้ อีกทั้งบริษัทจะยังคงดำเนินการจ่ายเงินปันผลตามนโยบายต่อไป สภาพคล่องของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างน่าพอใจในปี 2555 และในไตรมาสแรกของปี 2556 คุณภาพเครดิตของบริษัทในอนาคตจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดซึ่งคาดว่าจะเติบโตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการปล่อยดาวเทียมใหม่ 2 ดวงสู่วงโคจร ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทดำเนินตามนโยบายการเงินที่เข้มงวดในการลงทุนในอนาคตต่อไป
บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (THCOM)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
THCOM14NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive