กรุงเทพฯ--4 ก.ค.--ธนาคารกสิกรไทย
กสิกรไทย จับมือหอการค้าโตเกียว และอุตสาหกรรมแห่งโตเกียว จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ การสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในไทยและอาเซียน มุ่งเสริมสร้างการค้าระหว่างสองประเทศให้มากขึ้น และดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาทำธุรกิจในไทย ย้ำจุดยืนเป็นประตูการค้าสู่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้ลงนามความร่วมมือกับหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งโตเกียว ซึ่งเป็นหนึ่งในหอการค้าจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีสมาชิกถึง 80,000 บริษัท และมีสมาชิกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยความร่วมมือครั้งนี้จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ ได้แก่ การจัดสัมมนาให้ความรู้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นเกี่ยวกับโอกาสของธุรกิจและการลงทุนในไทยและอาเซียน การเจรจาจับคู่ธุรกิจของเอสเอ็มอี ไทย-ญี่ปุ่น การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริการจัดการทางการเงิน รวมถึงการให้วงเงินสินเชื่อผ่านความร่วมมือของธนาคารพันธมิตรท้องถิ่นญี่ปุ่น ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างการค้าระหว่างสองประเทศและดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยมากขึ้น
ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งโตเกียวที่ร่วมลงนามกับพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินต่างประเทศ เนื่องจากมองว่าธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารท้องถิ่นที่ดูแลลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ทั้งนี้ ภายในปี 2556 ธนาคารกสิกรไทยมีเป้าหมายที่จะดำเนินความร่วมมือลักษณะเดียวกันนี้กับหอการค้าและองค์กรในจังหวัดอื่น ๆ ของญี่ปุ่นเพิ่มอีก 2-3 จังหวัด เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่สนใจลงทุนในไทยอย่างครบวงจรผ่านทางธนาคารพันธมิตรญี่ปุ่นทั้ง 24 แห่ง หอการค้า องค์กรภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่น เพื่อตอกย้ำการเป็นเอเซียนแบงก์ของธนาคารกสิกรไทย และเป้าหมายให้ไทยเป็นประตูการค้าสู่อาเซียนต่อไป
จากข้อมูลของหอการค้าญี่ปุ่นพบว่ามีบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาจัดตั้งและดำเนินธุรกิจในประเทศไทยแล้วมากกว่า 7,000 บริษัท แยกตามขนาดของธุรกิจพบว่าเกือบ 50% เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ฐานที่ตั้งของบริษัทแม่จะมาจากโตเกียวถึง 25% และในช่วงปี 2548-2553 ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด โดยมียอดรวมมูลค่าเงินลงทุนที่ยื่นขอโครงการจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สูงถึง 720,000 ล้านบาท แม้ในปี 2554 ประเทศไทยจะประสบอุทุกภัยน้ำท่วม แต่บริษัทญี่ปุ่นก็ไม่ได้ย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น และยังคงลงทุนต่อเนื่อง เห็นได้จากในปี 2555 การลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยมีการขยายตัว คิดมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 348,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับปี 2554
นอกจากนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นยังแสดงความสนใจในการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีญี่ปุ่น ซึ่งทางเจโทรได้คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีว่า ในปี 2556 จะมีนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1,000 บริษัท และจากการสำรวจทุกครั้งนักลงทุนญี่ปุ่นยังมีความผูกพันและสนใจเข้ามาลงทุน ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นลำดับต้น ๆ มาตลอด โดยแม้ว่าประเทศไทยจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้น แต่ยังได้เปรียบเรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมกว่าหลายประเทศ และลักษณะภูมิประเทศที่เหมาะสมจะเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อป้อนให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ญี่ปุ่นจะเข้ามาลงทุนผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น อาทิ สินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนขึ้น ใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น หรือมีดีไซน์และต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือ
หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งโตเกียวก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2421 เป็นองค์กรด้านเศรษฐกิจที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น โดยมีสมาชิกประกอบด้วยบริษัทหลากหลายประเภทและขนาด รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี บริษัทเอกชน องค์กรต่าง ๆ และนักธุรกิจรายย่อยซึ่งมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตเมืองโตเกียว รวม 23 เขต จากทุกสาขาธุรกิจ ปัจจุบันมีบริษัทในญี่ปุ่นเข้าร่วมเป็นสมาชิกแล้วกว่า 80,000 บริษัท
สมาชิกจะร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาและเปิดโอกาสทางธุรกิจระหว่างกันในเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้โดยลำพังเพียงบริษัทใดบริษัทหนึ่ง โดยสมาชิกแต่ละรายจะสังกัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจหนึ่งในเก้ากลุ่มซึ่งแบ่งตามประเภทธุรกิจ และสังกัดสาขาที่อยู่ภายใต้หนึ่งใน 23 เขตของโตเกียว สมาชิกมีหน้าที่เลือกสมาชิกสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งโตเกียวจำนวน 150 คน ซึ่งมีหน้าที่ไตร่ตรองและตัดสินใจในเรื่องสำคัญด้านต่าง ๆ ในการประชุมของสภาหอการค้า เช่น อนุมัติงบประมาณประจำปีและผลสรุปทางบัญชีต่าง ๆ โดยการเลือกตั้งสมาชิกสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งโตเกียวครั้งล่าสุดมีขึ้นในปี 2553