กรุงเทพฯ--4 ก.ค.--IR Network
บมจ. เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง หรือ GEN เฮ! หลังคว้างานเสาเข็มโรงกลั่นมูลค่า 150 ล้านบาท หนุนมูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มเป็น 750 ล้านบาท เตรียมทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ พร้อมเดินหน้าเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง หวังครึ่งปีหลังได้งานอีกไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท มั่นใจผลักดันรายได้รวมปีนี้ เติบโตไม่ต่ำกว่า 20-30% อย่างแน่นอน
ดร.ธวัช อนันต์ธนวณิช กรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEN เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทฯได้รับงานใหม่ในโครงการ UPSTREAM PROJECT FOR HYGIENE AND VALUE ADDED PRODUCTS (UHV PLANT PROJECT ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ผ่านผู้รับเหมาจากประเทศเกาหลี คือ SK Engineering & Construction Co.,Ltd. มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ในปัจจุบันเพิ่มเป็น 800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ตุลาคม 2556
“กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของเรา คือ มุ่งเน้นในธุรกิจหลักในการจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง พร้อมรักษาฐานลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้เราได้เข้าไปเปิดตลาดลูกค้าในโซนตะวันออก รวมถึงลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมีแล้วนอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าเดิม คือ กลุ่มโรงงานและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งงาน IRPC ที่เราได้รับมาถือเป็นการเปิดตลาดในกลุ่มลูกค้าปิโตรเคมี นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มกำลังการผลิต โดยในช่วงที่ผ่านมาพบว่า สามารถลดต้นทุนได้ถึง 3-5% ทำให้มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทิศทางของ GEN หลังจากนี้จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้อย่างแน่นอน”
เขา กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2556 ว่าน่าจะขยายตัวต่อเนื่อง หลังจากสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น เหล็กและปูนซีเมนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทฯยังเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคาดหวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯจะได้รับงานใหม่ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท พร้อมมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,060 ล้านบาท จากปัจจัยบวกของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้างเติบโตตามตลาดที่ขยายตัว รวมทั้งปัจจัยบวกจากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท