กรุงเทพฯ--10 ก.ค.--วอลโว่ กรุ๊ป
วอลโว่ ทรัคส์ ยกระดับการแข่งขัน FuelWatch
- เพิ่มรางวัลประเภททีมเพื่อสร้างแนวคิดการทำงานเป็นทีม
- ผู้ชนะในปีนี้ จะเป็นตัวแทนประเทศไทยสู่สนามออสเตรเลีย
บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถบรรทุกหนักวอลโว่แต่ผู้เดียวในประเทศไทย ยกระดับการแข่งขัน FuelWatch โดยในปีนี้ได้เพิ่มรางวัลประเภททีมและปรับปรุงเกณฑ์การคัดเลือกผู้ชนะเลิศ ทั้งนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพการแข่งขันให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล
มร.ฌาร์ค มิเชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าการแข่งขันการ ขับขี่ปลอดภัยและประหยัดน้ำมันหรือ FuelWatch ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งในการจัด 3 ครั้งที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันเพิ่มขึ้นทุกปี ปีนี้ มีผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 81 คน ซึ่งมากกว่าปีแรก 45%
สำหรับปีนี้ มร.มิเชล กล่าวว่าบริษัทฯ ในฐานะผู้ดำเนินการแข่งขันได้เพิ่มรางวัลประเภททีมอีก 1 รางวัล โดยมีเป้าหมายในการสร้างทีมสปิริต โดยจำนวนผู้เข้าแข่งขันทั้ง 81 คนในปีนี้ จะถูกคัดเลือกในระหว่างการแข่งขันให้เหลือเพียง 24 คนในรอบสุดท้าย โดยปีนี้แบ่งพื้นที่การแข่งขันออกเป็น 5 สนามทั่วประเทศ ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 24 คน จะเป็นผู้ที่ทำคะแนนดีที่สุด
ในการแข่งขันรอบก่อนชิงชนะเลิศนั้น ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 24 คนจะเริ่มต้นการแข่งขันที่จังหวัดสุราษฎ์ธานีไปสิ้นสุดที่จังหวัดภูเก็ต โดยแต่ละคนจะจับฉลากเพื่อแบ่งเป็นทีม ทีมละ 4 คน รวมทั้งสิ้น 6 ทีม โดยแบ่งเส้นทางการแข่งขันออกเป็น 4 ช่วง ระยะทางรวม 160 กิโลเมตร โดยแต่ละทีมจะส่งตัวแทนมาแข่งขันกับอีก 5 ทีมในทุกช่วงของเส้นทาง เพื่อให้ได้นักขับที่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยที่สุดในแต่ละช่วงของเส้นทางทั้งหมด 4 คนเพื่อชิงชนะเลิศในรอบสุดท้ายและได้เป็นผู้ชนะฟิววอท์ชระดับประเทศไทย
สำหรับผลการแข่งขันในปีนี้ ปรากฎว่าผู้ชนะเลิศประจำปี 2556 คือนายพิพัฒน์ มะลิพันธ์ จากบริษัท เค เอ เอฟ อิมพอร์ต แอนด์ เอ็กซ์พอร์ต จำกัด อันดับ 2 คือนายอนุสิทธิ์ กะนะฮาด จากบริษัท หยกพาณิชย์ทรานสปอร์ต อันดับ 3 คือนายเอกรักษ์ มรินทร์ จากบริษัทอินเทล โลจิสติคส์ อันดับ 4 คือนายธนรักษ์ จอมกัน จากบริษัทธนรักษ์ปิโตรเลียม โดยนายพิพัฒน์ จะได้รับรางวัลมูลค่ารวม 500,000 บาท พร้อมกับสิทธิ์เป็นตัวแทนพนักงานขับรถวอลโว่ในประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศเอเชียแปซิฟิค ที่ประเทศออสเตรเลีย ในเดือนตุลาคม 2555 นี้
มร.มิเชล กล่าวว่าปีนี้มีผู้เข้ารอบสุดท้ายเพียง 4 คนเนื่องจากการปรับกฎกติกาใหม่เพื่อยกระดับการแข่งขัน ซึ่งผลการแข่งขันนั้น อันดับ 1 กับอันดับ 4 นั้น มีความแตกต่างของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 6% เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันในปี พ.ศ. 2553 มีผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งสิ้น 24 คน มีส่วนต่างของอัตราสิ้นเปลืองระหว่างอันดับ 1 กับอันดับที่ 24 ประมาณ 30%
“แม้ว่าจำนวนผู้เข้ารอบสุดท้ายน้อยลงตามกติกาใหม่ แต่สิ่งที่ผมเห็นว่ามันมีการพัฒนาขึ้นมาก็คือ ผู้เข้าร่วมแข่งขันมีการทำอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่างที่ลดลงเหลือเพียง 6% เท่านั้น ซึ่งผลการแข่งขันนี้ได้สะท้อนถึงความเข้มข้นและคุณภาพของคนขับรถหัวลากวอลโว่เป็นอย่างดี” มร.มิเชล กล่าว
ส่วนผู้ชนะประเภททีมนั้นได้แก่ทีม B ประกอบด้วย นายอนุสิทธิ์ กะนะฮาด จากบริษัท หยกพาณิชย์ทรานสปอร์ต นายเอกรักษ์ มรินทร์ จากบริษัท อินเทล โลจิสติคส์ นายทวีพร นิลแก้ว จากบริษัท เกียรติธนาขนส่ง นายสมชัย ฉางวัง จากบริษัท อัครพัฒไมนิ่ง จำกัด
มร. มิเชล กล่าวว่าแม้ว่าการแข่งขันในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎกติกา แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือหลักปรัชญาของการแข่งขันที่เน้นวินัยการขับขี่ปลอดภัย การเพิ่มทักษะการขับขี่ของพนักงานขับรถบรรทุกวอลโว่ และการขับขี่ประหยัดน้ำมัน
“การขับขี่ประหยัดน้ำมัน ผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงคือเจ้าของธุรกิจบริษัทขนส่ง เพราะต้นทุนน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของต้นทุนการดำเนินการ และยังเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับคณะผู้บริหารของวอลโว่ ทรัคส์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่ได้อีกประการหนึ่งคือเรื่องของวินัยการขับขี่ ซึ่งเราเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ในเรื่องความปลอดภัยนี้ ผุ้ที่จะได้ประโยชน์โตรงก็คือพนักงานขับรถ เพราะปัจจุบันพนักงานขับรถที่ดี มีวินัย เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก แต่ผู้ที่จะได้ประโยชน์โดยตรงอีกกลุ่มคือเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มอบความไว้วางใจใช้รถบรรทุกวอลโว่ เพราะเขาจะได้รับมอบสินค้าที่ตรงเวลาและปลอดภัย” มร.มิเชล กล่าว
มร. มิเชล กล่าวว่าการแข่งขัน FuelWatch นี้ ตรงตามหลักปรัชญาของวอลโว่ ทรัคส์ ที่เน้นใน 3 ประเด็นได้แก่ความปลอดภัย การรักษาสิ่งแวดล้อมและประสิทธิภาพและคุณภาพของเทคโนโลยีที่วอลโว่ ทรัคส์ พัฒนา ซึ่งใน 3 ประเด็นนี้เป็นเกณฑ์การตัดสินในการคัดเลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าสู่สนามต่างประเทศ และหลักเกณฑ์เดียวกันนี้ ถูกนำไปใช้เป็นพื้นฐานของการคัดเลือกทั่วโลกด้วยเช่นกัน