กรุงเทพฯ--15 ก.ค.--เวิรฟ
บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย เผยงานวิจัยโครงการ “ความท้าทายของพลังงานในอนาคต” (Future Energy Survey) มุ่งสำรวจความคิดเห็นของชาวไทยทั่วไปในเรื่องความท้าทายของพลังงานในอนาคต โดยสำรวจความคิดเห็นของคนในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ จำนวน 400 คน ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือนมีนาคม 2556 ซึ่งผลวิจัยชี้ให้เห็นว่าคนไทยให้ความสำคัญด้านความต้องการพลังงานในอนาคตเป็นอันดับแรก เทียบเท่ากับปัญหาการจราจรที่แออัดในอัตรา 92% และระบบการศึกษาของภาครัฐในอัตรา 91%
จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติและแบบจำลองสถานการณ์ของเชลล์ แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์จำลองในปี พ.ศ. 2573 ว่า ความต้องการพลังงาน น้ำและอาหารในโลกจะเพิ่มมากขึ้นราว 40 — 50 % เพื่อรองรับความต้องการและจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อแหล่งทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต คือ พลังงานเป็นสิ่งที่ใช้ในการบำบัดน้ำ น้ำถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการผลิตพลังงานและทั้งพลังงานและน้ำล้วนเป็นปัจจัยในการผลิตอาหาร ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าผู้ตอบสอบถามชาวไทยตระหนักดีถึงปัญหาเหล่านี้ โดยพวกเขาบอกว่าการขาดแคลนพลังงาน (91%) รวมถึงราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น (89%) ตลอดจนการขาดแคลนน้ำ (87%) และอาหาร (80%) จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
“เชลล์ดำเนินการสำรวจความท้าทายของพลังงานในอนาคต เพื่อมุ่งสนับสนุนรัฐบาลในการวางแผนรับมือความต้องการพลังงานในอนาคต โดยพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาความมั่นคงทางด้านพลังงาน
จากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าความต้องการพลังงานในอนาคตถือเป็นประเด็นที่คนไทยให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ไม่แพ้ปัญหาอื่นๆ ทั้งยังตระหนักดีว่าทรัพยากรพลังงาน น้ำ และอาหารต่างมีความเชื่อมโยงกัน อย่างไร นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าว
ผลการสำรวจเรื่องความท้าทายของพลังงานในอนาคตยังแสดงให้เห็นว่าชาวไทยสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (83%)^ โดยคิดว่า พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่จะตอบสนองความต้องความต้องการพลังงานของพวกเขาในอนาคต ตอกย้ำข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยยังระบุถึงแหล่งพลังงานอื่นๆ ที่อาจนำมาใช้ตอบสนองความต้องการพลังงานในอนาคตได้ คือ พลังงานน้ำ (54%)^ พลังงานลม (41%)^ และก๊าซธรรมชาติ (35%)^ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ได้สะอาดกว่าและจัดเป็นพลังงานหมุนเวียนโดยธรรมชาติ
นอกจากนี้ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย 9 คนใน 10 คน (92%) เห็นว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามอีก 6% ตอบว่าเป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หลายคนระบุว่าพวกเขากำลังทำสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยวิธีลดการใช้พลังงานลงหรือปิดไฟก่อนออกจากห้อง (83%)^ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน (53%)^ ตอลดจนการรีไซเคิล (49%)^
ผู้ตอบแบบสอบถามคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 2 (46%) เห็นพ้องกันว่าความร่วมมือกันของชุมชน รัฐบาล และภาคอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางพลังงานในอนาคต ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าประชาชนทั่วไป (70%)^ รัฐบาล (69%)^ และภาคอุตสาหกรรม (41%)^ มีบทบาทสำคัญที่สุดในการพัฒนาระบบพลังงานในอนาคต
นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า
“แบบสำรวจนี้มุ่งให้ทุกภาคส่วนเห็นถึงความสำคัญที่จะร่วมมือกันสร้างสรรค์วิธีการต่างๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานในอนาคต โดยบริษัทเชลล์พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาระบบพลังงานใหม่”
ข้อมูลที่น่าสนใจจากการสำรวจ
- ร้อยละ 92 ของจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด หรือเทียบเท่า คนไทย 9 ใน 10 คนเห็นว่าความต้องการพลังงานในอนาคตถือเป็นประเด็นปัญหาสำคัญ ปัญหาอื่นๆ ที่คนไทยให้ความสำคัญเป็นประเด็นหลักเพิ่มเติมได้แก่ สภาพการจราจรที่แออัด (92%)# ระบบการศึกษาของภาครัฐ (91%)# ค่าครองชีพ (89%)# ตลอดจนระบบสาธารณสุข (88%)# และมลภาวะทางอากาศ (88%)#
- ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยเห็นว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน คือ การขาดแคลนพลังงาน (91%)# และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น (93%)# จะสร้างผลกระทบอย่างมากต่อพวกเขาในอนาคต ปัญหาอื่นๆ ที่พวกเขาแสดงความกังวลได้แก่ การขาดแคลนน้ำ (87%)# การขาดแคลนอาหาร (80%)# อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น (79%)# และความไร้เสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ (74%)#
- แหล่งพลังงานที่ผู้ตอบแบบสำรวจสนับสนุนมากที่สุด คือ พลังงานแสงอาทิตย์ (83%)^ พลังงานน้ำ (54%)^ พลังงานลม (50%)^ ก๊าซธรรมชาติ (35%)^ และเชื้อเพลิงชีวภาพ (35%)^
- 91%* เห็นว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถือเป็นเรื่อง “สำคัญมาก” ในขณะที่อีก 6% ให้เป็นเรื่อง “สำคัญ”
- 46% เชื่อว่าความร่วมมือกันระหว่างภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล และชุมชน คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการหาทางออกให้กับปัญหาด้านพลังงานในอนาคต
- ประชาชนชาวไทยโดยทั่วไปมีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างอนาคตด้านพลังงานที่ดียิ่งขึ้น (69%)^รองลงมา ในสัดส่วนที่เกือบเท่ากันคือรัฐบาล (69%)^ และภาคอุตสาหกรรม (43%)^
ท่านสามารถดูผลสำรวจของงานวิจัยเรื่องอนาคตพลังงานซึ่งดำเนินการสำรวจในประเทศไทยได้ที่www.shell.com/scenarios