กรุงเทพฯ--25 ก.ค.--แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส
ศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติ โดยการสนับสนุนจาก บริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด จัดงานเสวนา “เอช. ไพโลไร แบคทีเรียตัวร้าย กับโรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง รู้ทัน…รักษาได้” รณรงค์ให้ความรู้ สร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรังจากเชื้อ เอช. ไพโลไร (H. pylori) พร้อมพูดคุยเรื่องการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลโรคแผลในกระเพาะอาหารและโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโดย ศ.พญ.วโรชา มหาชัย ประธาน ร่วมกับ รศ.ดร.นพ.รัฐกร วิไลชนม์ เลขาธิการศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติที่ ลานอินฟินิซิตี้ ฮอลล์ พารากอนซีนีเพล็กซ์ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อเร็วๆ นี้
ศ.พญ.วโรชา มหาชัย ประธานศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติ กล่าวถึงสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารว่า “ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารส่วนใหญ่จะมีอาการเกี่ยวกับกระเพาะอาหารส่วนบน มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก จุกเสียด แสบท้อง อาหารไม่ย่อย ซึ่งผู้ป่วยอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเป็นอะไร โดยผู้ป่วยส่วนมากมักจะซื้อยารับประทานเองก่อนไปพบแพทย์หรือตรวจรักษา ซึ่งก็ทำให้อาการบรรเทาลงได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา รวมถึงการตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรหรือเรียก เอช. ไพโลไร (H. pylori) ที่เป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งของโรคแผลในกระเพาะอาหาร”
เชื้อ เอช. ไพโลไร นี้มักจะอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งมีการค้นพบเชื้อนี้มานาน เอช. ไพโลไร กว่า 30 ปีแล้วโดยแพทย์ชาวออสเตรเลีย 2 ท่าน คือ ศ.นพ.แบรีย์ มาร์แชล (Barry Marshall) และศ.นพ.เจ โรบิน วาร์เรน (Robin Warren) ว่า เอช. ไพโลไร มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ตลอดจนมะเร็งกระเพาะอาหาร ทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาทางการแพทย์ในปี พ.ศ.2548 เชื้อ เอช. ไพโลไร มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหางมีความทนกรดสูงเนื่องจากสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่รอบๆ ตัวมันจึงสามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบภายในกระเพาะอาหารได้และยังสร้างสารพิษไปทำลายเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร โดยอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะเกี่ยวเนื่องจากทางสายพันธุ์ รวมถึงภูมิต้านทานโรคของแต่ละคน ซึ่งประเทศไทยเองก็ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับโรคในระบบทางเดินอาหาร โดยได้จัดตั้งศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติ ขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำวิจัยเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร โรคแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร รวมถึงเป็นศูนย์สื่อการเรียนการสอนและการทำงานวิจัย งานวิชาการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศด้วยค่ะ”
ด้าน รศ.ดร.นพ.รัฐกร วิไลชนม์ เลขาธิการศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเชื้อ เอช. ไพโลไร ว่า “การติดเชื้อ เอช. ไพโลไร ถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่สำคัญ มีผู้ติดเชื้อแบคทีเรียนี้มากกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเขตอเมริกาใต้แอฟริกาและเอเชีย ในปีพ.ศ.2537 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้การติดเชื้อ เอช. ไพโลไร เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารสำหรับในประเทศไทยพบมีการติดเชื้อ เอช. ไพโลไร ถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 20 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งการติดเชื้อชนิดนี้ นอกจากจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระเพาะอาหาร (MALT lymphoma) อีกด้วย”
“การรักษาในปัจจุบัน จะมีการตรวจหาเชื้อ เอช. ไพโลไร ในผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งการตรวจหาเชื้อ เอช. ไพโลไร สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การส่องกล้องกระเพาะอาหาร การเจาะเลือด การตรวจทางลมหายใจ หรือ Urea Breath Test และการตรวจอุจจาระเมื่อพบว่ามีการติดเชื้อ เอช. ไพไลไร จำเป็นต้องทำการรักษาและกำจัดเชื้อนี้ เพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารให้หายขาดโดยมีแนวทางในการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อ เอช. ไพโลไร อยู่โดยใช้สูตรยากำจัดเชื้อซึ่งการรักษาที่นิยมใช้กันมากและมีประสิทธิภาพสูง ได้แก่ การใช้ยาลดการหลั่งกรด 1 ชนิด ร่วมกับยาปฏิชีวนะอีก 2 ชนิด เป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ ซึ่งพบว่าสามารถกำจัดเชื้อได้มากกว่า 90% และภายหลังจากการหยุดรักษาไปแล้ว 4 สัปดาห์ก็จะไม่พบเชื้อ เอช. ไพโลไร นี้อีกโดยหลังจากที่กำจัดเชื้อ เอช. ไพโลไร แล้วโอกาสที่จะกลับมาเป็นแผลในกระเพาะอาหารซ้ำลดลงไปอย่างมาก”
“โรคแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อ เอช. ไพโลไร สามารถรักษาและมีโอกาสหายขาดได้เพียงหมั่นสังเกตพฤติกรรมว่ามีอาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือไม่ รวมถึงมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงการติดเชื้อ เอช. ไพโลไร อาทิ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ปวดท้องรุนแรง ปวดท้องกระเพาะอาหารเรื้อรังเป็นเวลานานเกิน 1 เดือน หรือเบื่ออาหารน้ำหนักลดลงมาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา และรับการรักษาอย่างถูกวิธี นอกจากนั้นการปรับพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร อาทิ รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย ให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด รสจัด งดบุหรี่ งดการดื่มสุรา งดการใช้ยาแอสไพริน และยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ผ่อนคลายความเครียดและวิตกกังวลทั้งหลาย รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอก็จะช่วยป้องกันโรคแผลในกระเพาะอาหารได้” รศ.ดร.นพ.รัฐกร กล่าวในที่สุด
อนึ่งโครงการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรังจากเชื้อ เอช. ไพโลไร โดยศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไรแห่งชาติ และด้วยความห่วงใยจากบริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรังจากเชื้อ เอช. ไพโลไร แก่คนไทย