กรุงเทพฯ--25 ก.ค.--ธนาคารไทยพาณิชย์
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ 4.0% ในปี 2013 ต่ำกว่าการประมาณการเดิมที่ 5.1% เนื่องจาก 1) การชะลอตัวลงของการใช้จ่ายภาคเอกชน 2) ความล่าช้าของการลงทุนภาครัฐ และ 3) การส่งออกที่เติบโตได้ไม่ดีนักในช่วงครึ่งแรกของปี โดยการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งในส่วนของสินค้าคงทน และสินค้าไม่คงทน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในส่วนของการนำเข้าเครื่องจักรต่างๆชะลอตัวลงอย่างชัดเจนหลังจากที่ได้เร่งตัวค่อนข้างมากในปี 2012 นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังจะได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของการลงทุนในแผนบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากคำตัดสินเบื้องต้นของศาลปกครองกลาง สำหรับการส่งออกของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนั้น ขยายตัวเพียง 1.9%YOY ซึ่งเป็นผลหลักมาจากการส่งออกไปประเทศจีนที่ลดลงค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม EIC คาดว่าการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีน่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นตามสัญญาณการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลักเช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยการส่งออกโดยรวมในปี 2013 จะขยายตัวได้ 3.7%
การเร่งตัวของหนี้ครัวเรือนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของการบริโภคภาคเอกชน โดยหนี้ครัวเรือนได้เพิ่มขึ้นจาก 63% ต่อ GDP ในปี 2010 มาเป็นประมาณ 80% ต่อ GDP ในปัจจุบัน ซึ่งการเร่งตัวของภาระหนี้นี้ทำให้หลายๆครัวเรือนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายต่างๆมากขึ้น และยังส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆเข้มงวดกับการให้สินเชื่อมากขึ้น สะท้อนจากยอดสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตต่างๆ มีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2013 ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นการขยายตัวของการใช้จ่ายครัวเรือนผ่านการก่อหนี้จะทำได้อีกไม่มากนักนอกจากนี้การลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา และน้ำตาล ส่งผลให้รายได้ภาคเกษตรค่อนข้างทรงตัวในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายของครัวเรือนในภาคเกษตรด้วย
EIC ประเมินว่าค่าเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 30-31 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯในช่วงที่เหลือของปี 2013 โดยค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยเดียวกันคือการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศว่าอาจจะมีการลดขนาดของ QE ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ทั้งนี้ EIC คาดว่าภาวะเงินทุนไหลออกไม่น่าจะส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาดุลการชำระเงิน หรือ balance of payment crisis เหมือนสมัยปี 1997 เพราะในปัจจุบัน ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากถึง 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และประมาณ 130% ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด นักลงทุนต่างประเทศจึงมั่นใจว่าประเทศไทยจะมีเงินตราต่างประเทศเพียงพอ และไม่จำเป็นต้องเร่งนำเงินออกนอกประเทศ ดังนั้น โอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงอย่างไม่มีเสถียรภาพจึงเป็นไปได้น้อย ด้วยเหตุนี้ EIC จึงประเมินว่าประเทศไทยยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปได้ ต่างกับประเทศที่มีความเสี่ยงกับปัญหาดุลการชำระเงิน เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย ที่จำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน