กรุงเทพฯ--29 ก.ค.--ปตท.
ฝ่ายกลยุทธ์และแผนธุรกิจ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สรุปราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ลดลง 0.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 107.72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเวสท์เท็กซัสฯ (WTI) ลดลง 1.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 105.95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เพิ่มขึ้น 0.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 104.93 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาเฉลี่ยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ลดลง 7.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 119.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลลดลง 0.70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 123.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ :
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงลบ
- กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 20 ก.ค. 56 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 7,000 ราย อยู่ที่ 343,000 ราย
- The National Association of Realtors รายงานยอดขายบ้านมือสองในสหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย. 56 ลดลงจากเดือนก่อน 1.2% มาอยู่ที่อัตราเฉลี่ยต่อปี 5.08 ล้านหลังต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากติดต่อกันมา 2 เดือนก่อนหน้านี้
- Reuters รายงานยอดนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน ของผู้นำเข้ารายใหญ่ในเอเชีย อันประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในครึ่งปีแรกของปี 56 ลดลงจากปีก่อน 21% อยู่ที่ 972,600 บาร์เรลต่อวัน เป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
- กรมศุลกากรจีนรายงานยอดนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านในเดือน มิ.ย. 56 อยู่ที่ 385,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงจากเดือนก่อน 31% และลดลงจากปีก่อน 39.1% ทั้งนี้จีนได้ลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านลงตามมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน เพื่อให้ได้รับการผ่อนผันในการนำเข้าต่อไปซึ่งจะมีการพิจารณาโดยสหรัฐฯ อีกครั้งในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค. 56
- HSBC รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือน ก.ค. 56 อยู่ที่ระดับ 47.7 จุด เป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 11 เดือน และเป็นที่ต่ำกว่า 50 จุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยค่า PMI ที่ระดับต่ำกว่า 50 จุด แสดงถึงภาวะเศรษฐกิจหดตัว
- กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีนออกมาตรการให้บริษัทเอกชนจำนวน 1,400 แห่ง จากอุตสาหกรรม 19 ชนิด อาทิ เหล็กกล้า ซีเมนต์ และกระดาษลดกำลังการผลิตส่วนเกินลงภายในเดือน ก.ย. 56 และต้องเลิกการผลิตส่วนเกินทั้งหมดภายในสิ้นปี 56 โดยมาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนเพื่อความเติบโตที่ยั่งยืน
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงบวก
- สำนักงานสารสนเทศสาขาพลังงานของประเทศสหรัฐฯ คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบของโลกว่าจะเพิ่มขึ้น 32% ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2553 ถึง2583 โดยมีจีน และอินเดียเป็นประเทศหลักที่เป็นกำลังขับเคลื่อน โดยที่น้ำมันเชื้อเพลิง (Fossil Fuel) จะยังคงเป็นอุปทานหลัก 80% ในภาคพลังงาน แม้ว่าพลังงานทดแทนและพลังงานนิวเคลียร์จะเติบโตขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ในรายละเอียด อุปสงค์น้ำมันดิบโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 87 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2553 มาอยู่ที่ 97 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 และเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 115 ล้านบาร์เรลต่อวันใน พ.ศ. 2583
- South Oil Company ของอิรักมีแผนลดการส่งออกน้ำมันดิบท่าส่งออก Barsa ในเดือน ก.ย. 2556 ลดลงประมาณ 400,000-500,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงของท่าเรื่อขนส่งหลายท่าทางภาคใต้ของอิรัก
- Markit Economics รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเบื้องต้นของกลุ่มยูโรโซน (Flash Manufacturing PMI) เดือน ก.ค. 2556 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.3 จุด มาอยู่ที่ระดับ 50.1 จุด
- กระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ รายงานระยะทางขับขี่ยานยนต์สหรัฐฯ (Vehicle Miles Driven) ในเดือน พ.ค. 2556 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.9% มาอยู่ที่ระดับ 2.62 แสนล้านไมล์
แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ
สถานการณ์สัปดาห์ที่ผ่านมามีความเสี่ยงต่อภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวอยู่เป็นระยะๆ อาทิ เช่น อิรักมีแผนลดการส่งออกน้ำมันดิบในเดือน ก.ย. 56 ประมาณ 0.40 - 0.50 ล้านบาร์เรลต่อวัน การคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบของโลกที่เพิ่มขึ้นประมาณ 32% ปัจจัยสนับสนุนดังได้กล่าวไม่สามารถผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพได้ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะอุปทานชะงักงันขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การประท้วงในลิเบียที่ยังคงดำเนินต่อไป/การชุมนุมและปะทะกันระหว่าง 2 ขั้วอำนาจในอียิปต์ ซึ่งล่าสุดก้าวเข้าสู่ขั้นรุนแรงที่สุดนับจากวันที่มีการรัฐประหารยึดอำนาจจากมูร์ซี/ความขัดแย้งระหว่างซูดานและซูดานใต้ ซึ่งงวดเข้ากำหนดเส้นตายวันที่ 7 ส.ค. 56 ซึ่งซูดานจะปิดการส่งออกน้ำมันดิบของซูดานใต้ทั้งหมดอาจส่งผลทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้แนวโน้มในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI ในตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีแนวรับแนวต้านอยู่ที่ 105.88-108.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และ 102.96-105.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลตามลำดับ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงจากอุปสงค์ในภูมิภาคเบาบางลงจากอินโดนีเซียชะลอการนำเข้า Gasoline ในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2556 ภายหลังจากมีการนำเข้าปริมาณเกือบ 12 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงต้นเดือน ก.ค. นอกจากนี้โรงกลั่นในอินเดีย เกาหลีใต้ และมาเลเซียกลับมาดำเนินการตามปกติภายหลังเสร็จสิ้นจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปี และ International Enterprise Singapore รายงานปริมาณสำรอง Light Distillates เชิงพาณิชย์ของสิงคโปร์สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ก.ค. 56 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 1.07 ล้านบาร์เรล หรือ 13.4% มาอยู่ที่ 9.10 ล้านบาร์เรล เป็นปริมาณสำรองสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากแตะระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 4 ปีเมื่อสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 ก.ค. 56 อย่างไรก็ตาม Petroleum Association of Japan รายงานปริมาณสำรอง Gasoline เชิงพาณิชย์ของญี่ปุ่น สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค. 56 ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 600,000 บาร์เรล หรือ 4.8 % อยู่ที่ 12.5 ล้านบาร์เรล
สถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซล
อุปสงค์ Gas Oil จากผู้นำเข้ารายใหญ่ อาทิ ซาอุดีอาระเบีย และอินโดนีเซียลดลงโดย Reuters รายงานยอดนำเข้า Diesel รวมของออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จากสิงคโปร์สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ก.ค. 56 ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 72% มาอยู่ที่ 802,500 บาร์เรล และนักวิเคราะห์คาดการณ์ Essar Oil Ltd. ของอินเดียอาจส่งออก Diesel ในเดือน ส.ค. 56 ในระดับสูงที่ 1.8-2.9 ล้านบาร์เรล และจากปริมาณสำรอง Gas Oil เชิงพาณิชย์ของยุโรปสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ก.ค. 56 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.7 ล้านบาร์เรล หรือ 5.1% อยู่ที่ 14.3 ล้านบาร์เรล นับเป็นปริมาณสำรองสูงที่สุดตั้งแต่ปลายเดือน มิ.ย. 56 และ IES สิงค์โปร์รายงานปริมาณสำรอง Middle Distillates เชิงพาณิชย์ของสิงคโปร์สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ก.ค. 56 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 1.50 ล้านบาร์เรล หรือ 21.4% มาอยู่ที่ 8.50 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ หลังจากแตะระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 5 ปีเมื่อสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 ก.ค. 56