ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท “บ. แสนสิริ” ที่ระดับ “BBB/Positive”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 1, 2013 14:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)ที่ระดับ “BBB” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิต หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Positive” หรือ “บวก” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินจากการออกหุ้นกู้จำนวน 1,000 ล้านบาทไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2556 และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการขยายธุรกิจ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัททั้งในส่วนของยอดขายและกำไรในช่วงปี 2553-2555 ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถคงอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุนได้ต่ำกว่า 1.5 เท่าอย่างสม่ำเสมอ ในทางตรงข้าม หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากก็อาจทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตลง อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทแสนสิริ ตลอดจนผลงานที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ความหลากหลายของสินค้า และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่จะรับรู้รายได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากการที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง รวมถึงความกังวลในด้านต้นทุนการดำเนินงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง บริษัทแสนสิริเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 99 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 127,000 ล้านบาท โดยประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 61% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 31% และทาวน์เฮ้าส์ 8% ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของที่อยู่อาศัยโดยรวมอยู่ที่ 3.5 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่าสูงถึง 56,000 ล้านบาท หรือเกือบ 2 เท่าของรายได้ในปี 2555 และมีมูลค่าเหลือขายอีกประมาณ 40,000 ล้านบาท บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีแบรนด์ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี รวมถึงการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และสินค้าที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดคอนโดมิเนียม ยอดขายของบริษัทในปี 2555 ทำสถิติสูงสุดที่ 42,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 21,792 ล้านบาทในปี 2554 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 ยอดขายเท่ากับ 20,900 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งปีของปี 2555 ยอดขายที่เติบโตขึ้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากในช่วงปี 2555 จนถึง 3 เดือนแรกของปี 2556 โดยโครงการที่เปิดใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ยอดขายคอนโดมิเนียมอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ 28,553 ล้านบาทในปี 2555 และยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 17,836 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2556 ยอดขายจากโครงการบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 2,400-2,900 ล้านบาทต่อไตรมาสในช่วง 5 ไตรมาสหลังสุด อย่างไรก็ตาม ยอดขายทาวน์เฮ้าส์ของบริษัทนั้นต่ำกว่าในอดีต โดยลดลง 14% เป็น 3,614 ล้านบาทในปี 2555 และลดเหลือ 515 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 จาก 1,195 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 ยอดขายที่สูงของคอนโดมิเนียมทำให้บริษัทมียอดสินค้าที่รอการส่งมอบสูงขึ้นมาก รายได้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเป็น 29,821 ล้านบาทในปี 2555 โดยเพิ่มขึ้น 45% จาก 20,542 ล้านบาทในปี 2554 โดยรายได้ของบริษัทในปี 2555 เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งสะท้อนถึงสถานะที่โดดเด่นทั้งในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากสินค้าทุกประเภท ทั้งนี้ รายได้จากคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นมากถึง 60% เป็น 14,913 ล้านบาทในปี 2555 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท รายได้จากบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เติบโต 32% และ 37% จากปี 2554 ตามลำดับ รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2556 เท่ากับ 5,111 ล้านบาทซึ่งใกล้เคียงกับ 5,109 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2555 โดยรายได้จากคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวเติบโต 17% และ 10% ตามลำดับ ในขณะที่รายได้จากทาวน์เฮ้าส์ลดลงมากถึง 53% อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 32%-34% ของรายได้ในช่วงปี 2553 ถึง 3 เดือนแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้นจาก 28%-29% ในช่วงปี 2549-2552 อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเหลือเพียง 2% ของรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2556 จาก 14%-16% ในช่วงปี 2552-2555 ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นมากจากการเปิดโครงการใหม่จำนวนมากในไตรมาสแรกนี้ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงค่อนข้างสูง โดยอัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 62%-64% ในช่วงปี 2553 ถึง 3 เดือนแรกของปี 2556 ในขณะที่อัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อทุนอยู่ที่ 1.6-1.8 เท่าในช่วงปี 2553 ถึงไตรมาสแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1-1.3 เท่าในช่วงปี 2550-2552 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 10.56% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) จาก 14.1% ในปี 2555 และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเหลือเพียง 0.83 เท่า อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนการส่งมอบยอดขายที่รอรับรู้รายได้จำนวนมากถึง 19,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2556 ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัท และลดอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลงได้ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) อันดับเครดิตองค์กร: BBB+ อันดับเครดิตตราสารหนี้: SIRI155A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB SIRI15OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB SIRI167A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB SIRI16OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB SIRI181A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB SIRI185A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561 BBB แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ