กรุงเทพฯ--1 ส.ค.--ธนาคารเกียรตินาคิน
“กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร” นำโดยนายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเกียรตินาคิน แถลงทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง คงเป้าการเติบโตของสินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 19% โดย 6 เดือนแรกของปี สินเชื่อรวมเติบโตได้ 8% ส่วนใหญ่มาจากการขยายสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงมีการกระจายตัวของรายได้ที่ดีขึ้น ด้วยสัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยต่อรายได้ค่าธรรมเนียมและการบริการที่ 67:33 ส่งผลให้กำไรของกลุ่มธุรกิจ มีความสมดุลโดยมีกำไรสุทธิ 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 2,399 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ภายใต้แนวคิด “Optimisation” ที่สะท้อนถึงตัวตนของเกียรตินาคินภัทรที่มีจุดยืนในการทำธุรกิจที่ชัดเจน และแสวงหาทางเลือกทางการเงิน และการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละคน รวมถึงการเปลี่ยนชื่อตัวย่อการซื้อขายหลักทรัพย์เป็น “KKP” มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไป
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (Mr. Aphinant Klewpatinond, President and Chairman of the Commercial Banking Business) เปิดเผยว่า “แนวทางการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังนั้น มองว่าสินเชื่อของธนาคารจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงการรับรู้รายได้จากธุรกิจตลาดทุนอย่างเต็มรูปแบบ จะเห็นได้ว่าภาพรวมของ 6 เดือนแรกที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจมีผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงความร่วมมือทางธุรกิจ (Synergies) ของธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนที่ชัดเจน มีการกระจายตัวของรายได้ที่ดีขึ้น ด้วยสัดส่วนระหว่างรายได้ดอกเบี้ยต่อรายได้ค่าธรรมเนียมและการบริการที่ 67:33 (รายได้ดอกเบี้ย 7,821 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและการบริการ 3,804 ล้านบาท รวมเป็น 11,625 ล้านบาท) โดยในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรวมที่ 19% และสิ่งที่สำคัญที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องคือการจัดโครงสร้างการทำงานของกลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนเพื่อให้เกิดความร่วมมือทางธุรกิจสูงสุด รวมถึงการรีแบรนด์ใหม่ ภายใต้แนวคิด “Optimisation” ที่สะท้อนถึงตัวตนของเกียรตินาคินภัทร ที่มีจุดยืนในการทำธุรกิจที่ชัดเจน โดยสิ่งที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้ ภายใต้ธุรกิจตลาดทุน คือ 1. บล. เกียรตินาคิน ที่มีจุดเด่นในด้านการให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลูกค้ารายย่อย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บล.เคเคเทรด 2. บลจ. เกียรตินาคิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของธุรกิจตลาดทุนต่อไปในอนาคต เปลี่ยนชื่อเป็น บลจ. ภัทร โดยในรายละเอียดของแต่ละส่วนงานจะมีการนำเสนอข้อมูลอีกครั้ง”
ในส่วนของการดำเนินงานทางด้านรีแบรนด์ของกลุ่มธุรกิจนั้น จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าเกียรตินาคินและภัทรต่างเป็นที่ยอมรับของฐานลูกค้าตนเองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนในบางจุดเพื่อให้เข้ากับกลยุทธ์ใหม่ภายใต้กลุ่มธุรกิจ และทิศทางของธุรกิจโดยรวม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก เพราะธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนมีจุดยืนในการทำธุรกิจที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยใช้แนวคิดหลักที่ว่า “Optimisation” คือการมุ่งแสวงหาทางเลือกทางการเงินและการลงทุนที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์สูงสูดสำหรับลูกค้าแต่ละราย ตามนโยบายที่จะเป็นสถาบันการเงินที่ชำนาญการเฉพาะด้าน ที่มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินและให้บริการที่มีคุณภาพสูง โดยพนักงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้าประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนในการทำธุรกิจและการลงทุน ทั้งนี้ชื่อกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรใช้ในการสื่อสารที่เป็นภาพรวมและความร่วมมือระหว่างธุรกิจต่างๆ ภายในกลุ่ม ในขณะที่ธุรกิจหลักคือธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารเกียรตินาคิน) และธุรกิจตลาดทุน (ภายใต้ บมจ.ทุนภัทร) ยังคงใช้แบรนด์เดิมในการสื่อสารกับลูกค้าของตนต่อไป ซึ่งจะมีการเปิดตัวแคมเปญต่างๆ ของแต่ละกลุ่มธุรกิจให้ทุกท่านได้เห็นต่อจากนี้
นายกฤติยา วีรบุรุษ ประธานธุรกิจตลาดทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (Mr. Krittiya Veeraburus, Chairman of Capital Market Business, President of Phatra Capital Public Company Limited and Phatra Securities Public Company Limited) เปิดเผยว่า “ภาวะธุรกิจตลาดทุนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ค่อนข้างผันผวน จากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เห็นได้จาก SET index ที่ปรับตัวลดลงจาก 1,561.06 จุด ณ สิ้นไตรมาส 1/2556 มาปิดที่ 1,451.90 จุด ณ สิ้นไตรมาส 2 ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของ บล.ภัทร และ บล.เกียรตินาคิน อยู่ที่ 4.33% และ 1.30% ตามลำดับ หรือรวมเท่ากับ 5.63% เป็นอันดับที่ 3 จากจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 31 แห่ง และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บล.ภัทร ได้บันทึกรายได้ธุรกิจวานิชธนกิจราว 372 ล้านบาท เข้ามาในไตรมาส 2 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการเสนอขายหน่วยลงทุนของ BTSGIF ยังรวมถึงธุรกิจจัดการกองทุนที่มีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (โดย บลจ.เกียรตินาคิน) จำนวน 22,188 ล้านบาท และสินทรัพย์ภายใต้การดูแลของงานด้านกองทุนส่วนบุคคล หรือ Private Fund อีกจำนวน 5,006 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้รายได้จากธุรกิจตลาดทุนมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจ”
สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2556 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556) เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2555 ซึ่งยังไม่มีผลประกอบการของทุนภัทรและ บล.ภัทร โดยกลุ่มธุรกิจการเงินธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีกำไรสุทธิรวม 2,399 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นกำไรสุทธิจากตลาดทุน 1,166 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 49% จากกำไรสุทธิรวม โดยในส่วนของสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 257,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% ในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ สินเชื่อมีการขยายตัวต่อเนื่อง มียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่ 182,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากเป้าหมาย 19% ที่ตั้งไว้ทั้งปี สำหรับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) อยู่ที่ 4.1% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2555 ที่ 3.9% และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อยู่ที่ 3.5% เพิ่มขึ้นจาก 3.3% เมื่อสิ้นปี 2555 โดยมีอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ 110.7% เทียบกับสิ้นปีที่ 109.5% สำหรับหนี้สินรวม (เงินฝาก หุ้นกู้ ตั๋วบีอี และหนี้สินอื่นๆ) มีจำนวน 233,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%
อนึ่ง ธนาคารเกียรตินาคิน ได้แจ้งตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขอเปลี่ยนชื่อตัวย่อการซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่เป็น “KKP” ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานและ ทิศทางธุรกิจใหม่ โดยยังคงใช้ชื่อ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เป็นชื่อบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์เช่นเดิม