กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--ซีพีเอฟ
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” รายงานยอดขายสำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2556 จำนวน 180,618 ล้านบาท เติบโตจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน 9% และรายงานกำไรสุทธิจำนวน 2,662 ล้านบาท คณะกรรมการบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท จากผลการดำเนินงานของงวด 6 เดือนปี 2556 กำหนดให้วันที่ 23 สิงหาคม 2556 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 กันยายน 2556
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร ได้กล่าวถึงผลการดำเนินงานว่า ใน 1 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้เผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเรื่องแรก คือ ภาวะผลผลิตไก่เนื้อและสุกรล้นตลาดในประเทศไทยที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่หลังวิกฤตน้ำท่วมในปี 2554 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้ จนปัจจุบันภาวะผลผลิตไก่เนื้อและสุกรในประเทศไทยเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ
สำหรับผลการดำเนินงานปีนี้ ยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยสาเหตุหลักเกิดขึ้นจากผลกระทบจากโรคกุ้ง EMS (Early Mortality Syndrome) ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปลายปี 2555 ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทยมีการชะลอตัว และยังไม่กลับคืนสู่ระดับการเลี้ยงปกติ ผู้เลี้ยงกุ้งจำนวนมากได้มีการชะลอการเลี้ยงกุ้ง เพื่อดูการศึกษาวิจัยถึงมาตรการป้องกันที่ได้ผล จึงมีผลกระทบต่อยอดขายในธุรกิจกุ้งของบริษัททั้งระบบ โดยเฉพาะอาหารกุ้งที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ผลการวิจัยเริ่มมีทิศทางที่ส่อแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลำดับ คาดว่า ผู้เลี้ยงกุ้งน่าจะเริ่มทะยอยกลับมาเลี้ยงกุ้งเพิ่มขึ้น
คุณอดิเรก ได้กล่าวจบท้ายว่า ท่ามกลางความลำบากของธุรกิจและอุตสาหกรรม บริษัทได้มีการทบทวนการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญในการลงทุนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลัก โดยเร็วๆนี้ได้ประกาศการเข้าร่วมลงทุนในซีพี-เมจิ 60% บริษัทเห็นว่าธุรกิจของซีพี-เมจินี้ยังคงมีโอกาสขยายตัวได้อีกโดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศในแถบเอเซีย นอกจากนั้นได้ประกาศเข้าลงทุนในธุรกิจสุกรในประเทศรัสเซีย ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทนั้นซึ่งคาดว่าจะน่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ราคาเนื้อสัตว์ในประเทศไทยเริ่มกลับเข้าภาวะปกติ ทำให้เชื่อว่าสถานการณ์ได้ผ่านจุดต่ำสุดและกำลังปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ
อย่างไรก็ดี นายอดิเรก กล่าวว่า ยอดขายรวมของบริษัทในปีนี้จะยังสามารถเติบโตได้มากกว่า 10 % จากภาวะราคาเนื้อสัตว์ที่ดีขึ้น โดยมีความเชื่อมั่นว่า จะยังเติบโตต่อเนื่องใน 5 ปีข้างหน้า ด้วยยอดขายที่ 700,000 ล้านบาท ตามกลยุทธ์หลักการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า และการมองหาธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรต่อยอดต่อซีพีเอฟ เช่นการเข้าซื้อธุรกิจซีพี-เมจิ ธุรกิจที่มีแบรนด์ติดตลาด และมียอดขายเติบโตต่อเนื่อง หรือการซื้อธุรกิจสุกรในรัสเซียในช่วงที่ผ่านมา